โมฮาเหม็ด ซาล่าห์ กดสองจุดโทษช่วยให้ ลิเวอร์พูล พลิกแซงเอาชนะ เซาธ์แฮมป์ตัน 3-1 ไม่เพียงแต่รักษาตำแหน่งดาวซัลโวพรีเมียร์ลีกแบบทิ้งห่าง แต่ยังจารึกสถิติสำคัญกับสโมสรเพิ่มขึ้นอีกด้วย
ลิเวอร์พูล ต้องตกเป็นฝ่ายตามหลังก่อนจากประตูของ วิลล์ สมอลล์โบน แต่สามารถคัมแบ็กกลับมาได้สำเร็จจากการทำประตูของ ดาร์วิน นูนเญซ และสองจุดโทษของ ซาล่าห์ ทำให้ “หงส์แดง” เก็บสามแต้มสำคัญเพิ่มเป็น 70 คะแนนจาก 29 นัด ทิ้งห่าง อาร์เซน่อล อันดับสอง 16 แต้ม แต่ลงเล่นมากกว่า 2 เกม
ซาล่าห์ ยังคงโชว์ฟอร์มร้อนแรงในลีก ยิงไปแล้ว 27 ประตู นำเป็นดาวซัลโวพรีเมียร์ลีกแบบขาดลอย โดยมี เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ ตามหลังอยู่ 7 ประตู (20 ลูก) ขณะที่จำนวนประตูรวมจากทุกรายการในฤดูกาลนี้เพิ่มเป็น 32 ประตู และมีส่วนร่วมโดยตรงกับ 44 ประตู (27 ประตู + 17 แอสซิสต์) ซึ่งถือเป็นตัวเลขสูงสุดในลีกสำหรับฤดูกาลแข่งขัน 38 นัด
นอกจากนั้น กองหน้าวัย 32 ปี ยังทำสถิติขึ้นไปทาบ เอียน รัช ตำนานของสโมสรในฐานะนักเตะที่ยิง เซาธ์แฮมป์ตัน ได้มากที่สุด (10 ประตู) พร้อมทั้งขยับขึ้นมาเป็นดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลอันดับ 3 ของลิเวอร์พูล แซงหน้า กอร์ดอน ฮอดจ์สัน ด้วยจำนวน 243 ประตู ตามหลัง โรเจอร์ ฮันท์ (285 ประตู) และ เอียน รัช (346 ประตู)
นอกจากนี้ ซาล่าห์ ยังทำสถิติเทียบเท่า เซร์คิโอ อเกวโร่ อดีตกองหน้า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในฐานะผู้เล่นที่ทำประตูมากที่สุดในพรีเมียร์ลีกเป็นอันดับ 5 ร่วม ด้วยจำนวน 184 ประตู
สำหรับจำนวน 243 ประตูที่เขาทำได้ในสีเสื้อ ลิเวอร์พูล แบ่งออกเป็น
- พรีเมียร์ลีก: 182 ประตู
- ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก: 45 ประตู
- ยูโรป้า ลีก: 5 ประตู
- เอฟเอ คัพ: 6 ประตู
- คาราบาว คัพ: 4 ประตู
- คอมมูนิตี้ ชิลด์: 1 ประตู
หลังจบเกม ซาล่าห์ ให้สัมภาษณ์ว่า
“ผมไม่คิดว่าเราเล่นได้ดีในวันนี้ แต่การคว้าแชมป์ต้องอาศัยชัยชนะในเกมแบบนี้ หากคุณต้องการเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกหรือยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก คุณต้องหาทางคว้าสามแต้มแม้ในวันที่เล่นไม่ดีที่สุด”
ดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของลิเวอร์พูล
- เอียน รัช – 346 ประตู
- โรเจอร์ ฮันท์ – 285 ประตู
- โมฮาเหม็ด ซาล่าห์ – 243 ประตู
- กอร์ดอน ฮอดจ์สัน – 241 ประตู
- บิลลี่ ลิดเดลล์ – 228 ประตู
- สตีเว่น เจอร์ราร์ด – 186 ประตู
- ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ – 183 ประตู