ลิเวอร์พูล เปิดเผยผลประกอบการทางการเงินสำหรับฤดูกาล 2023/24 โดยรายงานระบุว่าสโมสรขาดทุนก่อนหักภาษี 57 ล้านปอนด์ (ประมาณ 2,451 ล้านบาท) อันเป็นผลมาจากการพลาดโอกาสลงแข่งขันใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และต้นทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
รายได้รวมเพิ่มขึ้น แต่ขาดทุนยังเพิ่มขึ้นจากปีก่อน
แม้ว่าสโมสรจะขาดทุนเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 48 ล้านปอนด์ แต่รายได้รวมของสโมสรยังคงเติบโต โดยเพิ่มขึ้น 20 ล้านปอนด์ ทำให้รายได้รวมอยู่ที่ 614 ล้านปอนด์ ในฤดูกาล 2023/24 นอกจากนี้ รายได้เชิงพาณิชย์ของสโมสรพุ่งขึ้นเป็นสถิติใหม่ โดยเพิ่มขึ้น 36 ล้านปอนด์ รวมเป็น 308 ล้านปอนด์ ซึ่งสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของแบรนด์ “หงส์แดง” ในระดับโลก
อีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยเพิ่มรายได้คือ การเปิดใช้งานอัฒจันทร์แอนฟิลด์โร้ดใหม่ และจำนวนเกมที่เพิ่มขึ้นที่แอนฟิลด์ ซึ่งส่งผลให้ รายได้จากวันแข่งขันเพิ่มขึ้น 22 ล้านปอนด์ ทะลุหลัก 100 ล้านปอนด์เป็นครั้งแรก โดยอยู่ที่ 102 ล้านปอนด์
ผลกระทบจากการพลาดแชมเปี้ยนส์ ลีก
การพลาดเข้าแข่งขันใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และการต้องลงเล่นใน ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก ส่งผลให้ รายได้จากลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดลดลง 38 ล้านปอนด์ เมื่อเทียบกับปีก่อน เหลือ 204 ล้านปอนด์ ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการขาดทุนของสโมสร
ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
แม้ว่ารายได้โดยรวมของสโมสรจะเพิ่มขึ้น แต่ค่าใช้จ่ายก็สูงขึ้นตามไปด้วย โดยเฉพาะ ค่าจ้างนักเตะและค่าใช้จ่ายบริหาร ซึ่งพุ่งขึ้นจาก 320 ล้านปอนด์ในปี 2018 เป็น 600 ล้านปอนด์ในปัจจุบัน หรือเพิ่มขึ้นถึง 88% ในระยะเวลาเพียง 6 ปี
การลงทุนเสริมทัพและอนาคตของสโมสร
แม้จะมีปัญหาทางการเงิน แต่ลิเวอร์พูลยังคงเดินหน้าเสริมทัพด้วยการลงทุน 165 ล้านปอนด์ ในการคว้าตัว อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์, โดมินิค โซบอสซไล, วาตารุ เอ็นโด และ ไรอัน กราเฟนแบร์ก เพื่อยกระดับขุมกำลังของทีม
ปัจจุบัน ภายใต้การคุมทีมของ อาร์เน่อ สล็อต ลิเวอร์พูลยังคงทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม โดยนำเป็นจ่าฝูงพรีเมียร์ลีก ทิ้งห่าง อาร์เซน่อล 13 คะแนน นอกจากนี้ ยังมีสถิติยอดการมีส่วนร่วมของแฟนบอลบนโซเชียลมีเดียสูงถึง 1,500 ล้านครั้ง และมียอดผู้ติดตามรวม 37 ล้านคน ซึ่งตอกย้ำความเป็นหนึ่งในแบรนด์ฟุตบอลที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก
ตามรายงานล่าสุดจาก Brand Finance 2024 ลิเวอร์พูลยังคงเป็นสโมสรที่มี แบรนด์ทรงพลังที่สุดในพรีเมียร์ลีก แม้ว่าจะขาดทุนเพิ่มขึ้น แต่ศักยภาพด้านการตลาดและฐานแฟนบอลทั่วโลกยังคงเป็นจุดแข็งที่ทำให้ “หงส์แดง” เป็นหนึ่งในสโมสรที่มีมูลค่ามหาศาลในอุตสาหกรรมฟุตบอล