ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่มนัดที่ 4 เมื่อคืนวันอังคารที่ 5 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เรอัล มาดริด แชมป์เก่าและแชมป์ 15 สมัย เปิดสนามซานติอาโก้ เบร์นาเบว รับมือ เอซี มิลาน อดีตแชมป์ 7 สมัย ท่ามกลางความคาดหวังจากแฟนบอลเจ้าบ้านที่หวังเห็นทีมรักคว้าชัย
เกมเริ่มมาได้เพียง 12 นาที กองเชียร์มาดริดต้องเงียบกริบ เมื่อ เอซี มิลาน ออกนำก่อน 1-0 จากลูกเตะมุมที่ คริสเตียน พูลิซิช เปิดเข้ามาให้ มาลิค เจา ปราการหลังชาวเยอรมัน ขึ้นโหม่งบอลเสียบเสาแรกอย่างเฉียบคม
แต่เรอัล มาดริด ก็ตามตีเสมออย่างรวดเร็วในนาทีที่ 23 เมื่อ วินิซิอุส จูเนียร์ โดน เอแมร์ซง โรยาล ทำฟาวล์ในกรอบเขตโทษ ก่อนที่เจ้าตัวจะลุกขึ้นมายิงจุดโทษเข้าไปไม่พลาด ตีเสมอให้ทีมเป็น 1-1 และยังเป็นประตูที่ 4 ของเขาในฤดูกาลนี้
อย่างไรก็ตาม ก่อนหมดครึ่งแรกเพียง 6 นาที เอซี มิลาน ก็กลับมานำอีกครั้งจากจังหวะโต้กลับที่รวดเร็ว พูลิซิช กระชากบอลจากฝั่งขวาแล้วส่งให้ ราฟาเอล เลเอา ยิงติดเซฟของ อันเดร ลูนิน แต่บอลกระดอนมาเข้าทางปืน อัลบาโร่ โมราต้า ซ้ำเข้าไปพา “ปีศาจแดงดำ” ขึ้นนำ 2-1
ในช่วงครึ่งหลัง นาทีที่ 73 เอซี มิลาน ก็มาได้ประตูที่สาม เมื่อ ราฟาเอล เลเอา ลากบอลไปถึงเส้นหลังก่อนจ่ายให้ ทีจานี่ ไรน์เดอร์ส ยิงจบสกอร์แบบไม่เหลือซาก ทำให้ทีมเยือนนำห่างเป็น 3-1
ก่อนจบเกม อันโตนิโอ รือดิเกอร์ ของเรอัล มาดริด ส่งบอลเข้าประตูไปแล้ว แต่ VAR ปฏิเสธการให้ประตูเนื่องจากอยู่ในตำแหน่งล้ำหน้า
จบเกม เรอัล มาดริด พ่ายคาบ้านให้ เอซี มิลาน 1-3 ทำให้ทีมของพวกเขายังมีเพียง 6 คะแนนจาก 4 นัด และต้องลุ้นหนักในนัดถัดไป ขณะที่ เอซี มิลาน เก็บชัยชนะได้สองนัดติด มี 6 แต้มเช่นกัน ทำให้ทั้งสองทีมยังต้องสู้เต็มที่ในเกมที่เหลือเพื่อโอกาสผ่านเข้าสู่รอบน็อกเอาท์