Home Blog Page 114

พอล สโกลส์: ตำนานมิดฟิลด์ หัวแดงเพลิง

0

ข้อมูลส่วนตัว

  • ชื่อเต็ม: พอล แอนโธนี สโกลส์ (Paul Anthony Scholes)
  • เกิด: 16 พฤศจิกายน ค.ศ. 1974 (อายุ 49 ปี)
  • สถานที่เกิด: แซลมฟอร์ด, อังกฤษ
  • ส่วนสูง: 1.68 เมตร
  • ตำแหน่ง: กองกลาง
  • สโมสรที่เคยเล่น: แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด, โอลด์แฮม แอธเลติก
  • หมายเลขเสื้อ: 8 (แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด), 24 (โอลด์แฮม แอธเลติก)

อาชีพนักฟุตบอล

  • เริ่มต้นอาชีพกับสโมสรฟุตบอล โอลด์แฮม แอธเลติก ในปี 1991
  • ย้ายไปเล่นให้กับ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ในปี 1993
  • ประสบความสำเร็จมากมายกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 11 สมัย, ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก 2 สมัย, เอฟเอคัพ 3 สมัย และรางวัลอื่นๆ อีกมากมาย
  • แขวนสตั๊ดอย่างเป็นทางการในปี 2011
  • กลับมาเล่นให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดอีกครั้งในช่วงสั้นๆ ในปี 2012
  • เคยรับงานเป็นผู้จัดการทีมโอลด์แฮม แอธเลติก และเป็นเจ้าของร่วมทีมซอลฟอร์ดซิตี

สถิติ

  • สโมสร
    • ลงเล่น: 718 นัด
    • ยิงประตู: 155 ประตู
    • แอสซิสต์: 160 แอสซิสต์
  • ทีมชาติ
    • ลงเล่น: 66 นัด
    • ยิงประตู: 14 ประตู
    • แอสซิสต์: 26 แอสซิสต์

รางวัลส่วนตัว

  • รางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของสมาคมนักเขียนฟุตบอลอังกฤษ (FWA) 2 สมัย (1997, 2001)
  • รางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำเดือนพรีเมียร์ลีก 3 สมัย
  • ติดทีมยอดเยี่ยมแห่งพรีเมียร์ลีก 6 สมัย
  • ติดทีมยอดเยี่ยมแห่งยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก 2 สมัย

จุดเด่น

  • สโกลส์ ขึ้นชื่อเรื่องการส่งบอลที่แม่นยำ การเตะฟรีคิกที่เฉียบคม และวิสัยทัศน์ที่ยอดเยี่ยม
  • เขาสามารถเล่นได้หลากหลายตำแหน่งในแดนกลาง ทั้งกองกลางตัวรับ กองกลางตัวรุก และกองกลางตัวทำเกม
  • สโกลส์ ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในกองกลางท่ีดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของวงการฟุตบอล

เกร็ดน่ารู้

  • สโกลส์ เกือบไม่ได้เซ็นสัญญากับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด เพราะเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กุนซือของทีมมองว่าเขาเตี้ยเกินไป
  • สโกลส์ เป็นแฟนบอลตัวยงของสโมสรแมนเชสเตอร์ซิตี คู่ปรับร่วมเมือง
  • สโกลส์ เคยได้รับฉายาว่า “จิ้งจอกแก่” เพราะเขามีทักษะการเล่นที่ชาญฉลาดและเฉียบคม

ดูซาน วลาโฮวิช: ณเดชน์ แห่งตูริน

0

ชีวิตและเบื้องหลัง

  • กำเนิด: ดูซาน วลาโฮวิช เกิดเมื่อวันที่ 28 มกราคม ค.ศ. 2000 ในกรุงเบลเกรด ประเทศเซอร์เบีย เขามีพ่อเป็นชาวเซอร์เบีย และแม่เป็นชาวบอสเนีย
  • ครอบครัว: วลาโฮวิช เติบโตมากับครอบครัวที่รักฟุตบอล พ่อของเขา มิลอส วลาโฮวิช เคยเป็นนักฟุตบอลอาชีพ และเป็นผู้จุดประกายความหลงใหลในกีฬาชนิดนี้ให้กับลูกชาย
  • แรงบันดาลใจ: วลาโฮวิช ยกให้ คริสเตียโน โรนัลโด้ เป็นไอดอล เขาชื่นชอบสไตล์การเล่นและความมุ่งมั่นของโรนัลโด้

การเริ่มต้นอาชีพ

  • ปาร์ติซาน เบลเกรด: วลาโฮวิช เริ่มต้นอาชีพนักฟุตบอลกับสโมสรปาร์ติซาน เบลเกรด สโมสรในบ้านเกิดของเขา เขาลงเล่นให้กับทีมเยาวชนของสโมสรตั้งแต่อายุ 12 ปี
  • ก้าวสู่ทีมชุดใหญ่: วลาโฮวิช ขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ของปาร์ติซาน เบลเกรด ในปี 2016 เขาสร้างผลงานได้อย่างน่าประทับใจ ยิงประตูไป 46 ประตูจาก 113 นัด และกลายเป็นหนึ่งในดาวรุ่งที่น่าจับตามองมากที่สุดของยุโรป

การย้ายไปฟิออเรนติน่า

  • จุดเปลี่ยน: ในปี 2018 วลาโฮวิช ตัดสินใจย้ายไปเล่นให้กับฟิออเรนติน่า สโมสรในเซเรียอา อิตาลี การย้ายครั้งนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในอาชีพของเขา
  • การปรับตัว: ช่วงแรก วลาโฮวิช ต้องใช้เวลาในการปรับตัวเข้ากับฟุตบอลอิตาลี แต่ด้วยความมุ่งมั่นและพรสวรรค์ เขาสามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นหลักของทีมได้ในที่สุด

การย้ายไปยูเวนตุส

  • ดีลที่น่าตกตะลึง: ในปี 2022 ยูเวนตุส ยักษ์ใหญ่แห่งเซเรียอา ตัดสินใจทุ่มเงิน 70 ล้านยูโรคว้าตัว วลาโฮวิช มาร่วมทีม การย้ายครั้งนี้ถือเป็นดีลท่ีน่าตกตะลึง และสร้างความฮือฮาไปทั่วโลกฟุตบอล
  • ความคาดหวังท่ีสูง: วลาโฮวิช ถูกคาดหวังว่าจะเป็นผู้เล่นท่ีจะพายูเวนตุสกลับมายิ่งใหญ่ เขาได้รับหมายเลขเสื้อ 9 ท่ีเคยเป็นของตำนานของสโมสรอย่าง ฟิลิปโป อินซากี้
  • เริ่มต้นที่ยังไม่ดีนัก: ช่วงแรกกับยูเวนตุส วลาโฮวิช ยังไม่สามารถโชว์ฟอร์มท่ีดีที่สุดออกมาได้ เขาได้รับบาดเจ็บ และต้องใช้เวลาในการปรับตัวเข้ากับทีม

ข้อมูลส่วนตัว

  • ชื่อเต็ม: ดูซาน วลาโฮวิช (Dušan Vlahović)
  • เกิด: 28 มกราคม 2543 (อายุ 21 ปี)
  • สถานที่เกิด: เบลเกรด, เซอร์เบีย
  • ส่วนสูง: 1.90 เมตร
  • ตำแหน่ง: กองหน้า
  • สโมสรปัจจุบัน: ยูเวนตุส (เซเรียอา) , ทีมชาติเซอร์เบีย
  • หมายเลขเสื้อ: 9 (ยูเวนตุส), 9 (ทีมชาติเซอร์เบีย)
  • อาชีพนักฟุตบอล
  • เริ่มต้นอาชีพกับสโมสรฟุตบอล ปาร์ติซาน เบลเกรด (Partizan Belgrade) ในปี 2015-2018
  • ย้ายไปเล่นให้กับ ฟิออเรนติน่า (Fiorentina) ในปี 2018
  • ย้ายไปร่วมทีมยูเวนตุสในปี 2022

  • สถิติ

  • สโมสร
    • ลงเล่น: 153 นัด
    • ยิงประตู: 85 ประตู
    • แอสซิสต์: 24 แอสซิสต์
  • ทีมชาติ
    • ลงเล่น: 19 นัด
    • ยิงประตู: 11 ประตู
    • แอสซิสต์: 3 แอสซิสต์
  • รางวัลส่วนตัว
  • รางวัลนักฟุตบอลดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งเซเรียอา 2020-2021
  • รางวัลผู้เล่นทรงคุณค่าประจำนัด ยูฟ่า ยูโรปา ลีก 2021-2022 (รอบ 16 ทีมสุดท้าย ฟิออเรนติน่า vs บราแกนซ่า)

เฟเดริโก้ คิเอซ่า: ผู้สืบทอดตำนาน

0

เส้นทางลูกหนัง

เฟเดริโก้ คิเอซ่า เกิดเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม ค.ศ. 1997 ท่ามกลางครอบครัวนักฟุตบอล พ่อของเขาคือ เอนรีโก้ คิเอซ่า
อดีตนักเตะทีมชาติอิตาลี ไม่แปลกที่คิเอซ่าจะหลงใหลในลูกหนังตั้งแต่เด็ก เขาเริ่มต้นเล่นฟุตบอลกับสโมสรฟุตบอล เซ็ตติญานีส (Settignanese) ก่อนจะย้ายไปร่วมทีมเยาวชนของฟิออเรนติน่าในปี 2007

คิเอซ่าแจ้งเกิดกับทีมชุดใหญ่ของฟิออเรนติน่าในปี 2016 ด้วยวัยเพียง 19 ปี เขาโชว์ฟอร์มได้อย่างน่าประทับใจด้วยความเร็ว ความคล่องแคล่ว และทักษะการเลี้ยงบอลที่ยอดเยี่ยม

การก้าวกระโดด

ในปี 2018 คิเอซ่าถูกยืมตัวไปเล่นให้กับ เอ็มโปลี (Empoli) เขาทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ยิงไป 12 ประตูจาก 36 นัด ฟอร์มการเล่นที่โดดเด่นของเขาทำให้ยูเวนตุส ยักษ์ใหญ่แห่งเซเรียอา ตัดสินใจคว้าตัวมาร่วมทีมในปี 2020

สมาชิกใหม่แห่งยูเวนตุส

คิเอซ่ากลายเป็นกำลังสำคัญของยูเวนตุสอย่างรวดเร็ว เขาสามารถเล่นได้หลากหลายตำแหน่งทั้งปีกซ้าย ปีกขวา และกองหน้า ด้วยความสามารถเฉพาะตัวที่โดดเด่น คิเอซ่ากลายเป็นผู้เล่นที่สร้างความอันตรายให้กับคู่ต่อสู้ได้เสมอ


ข้อมูลส่วนตัว

  • ชื่อเต็ม: เฟเดริโก้ คิเอซ่า คาวาเลียร์ ออมรี (Federico Chiesa Cavaliere OMRI)
  • เกิด: 25 ตุลาคม 2540 (อายุ 26 ปี)
  • สถานที่เกิด: เจนัว, อิตาลี
  • ส่วนสูง: 1.75 เมตร
  • ตำแหน่ง: ปีก, กองหน้า
  • สโมสรปัจจุบัน: ยูเวนตุส (เซเรียอา) , ทีมชาติอิตาลี
  • หมายเลขเสื้อ: 7 (ยูเวนตุส), 14 (ทีมชาติอิตาลี)

อาชีพนักฟุตบอล

เซ็นสัญญาถาวรกับยูเวนตุสในปี 2021

เริ่มต้นอาชีพกับสโมสรฟุตบอล เซ็ตติญานีส (Settignanese) ในปี 2002-2007

ย้ายไปเล่นกับทีมเยาวชนของสโมสรฟุตบอล ฟิออเรนติน่า (Fiorentina) ในปี 2007-2016

ขึ้นทีมชุดใหญ่ของฟิออเรนติน่าในปี 2016

ถูกยืมตัวไปเล่นให้กับ เอ็มโปลี (Empoli) ในปี 2017-2018

กลับมาเล่นให้กับฟิออเรนติน่าอีกครั้งในปี 2018-2020

ย้ายไปร่วมทีมยูเวนตุสในปี 2020 (สัญญายืมตัว 2 ปี)

ผลงานที่โดดเด่น

  • สโมสร
    • ลงเล่น: 319 นัด
    • ยิงประตู: 85 ประตู
    • แอสซิสต์: 71 แอสซิสต์
  • ทีมชาติ
    • ลงเล่น: 40 นัด
    • ยิงประตู: 11 ประตู
    • แอสซิสต์: 8 แอสซิสต์

รางวัลส่วนตัว

  • รางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำนัด ยูฟ่า ยูโร 2020 (รอบแบ่งกลุ่ม อิตาลี vs เวลส์)
  • รางวัลนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งเซเรียอา 2019-2020
  • ติดทีมยอดเยี่ยมแห่งเซเรียอา 2019-2020
  • ติดทีมยอดเยี่ยมแห่งยูฟ่า ยูโร 2020

ติอาโก อัลกันตาร่า ประกาศแขวนสตั๊ด

0

10 กรกฎาคม 2567 – ติอาโก อัลกันตาร่า มิดฟิลด์ชาวสเปน ประกาศเลิกเล่นฟุตบอลอาชีพอย่างเป็นทางการ ในวัย 33 ปี

การประกาศ

อดีตกองกลางลิเวอร์พูล โพสต์ข้อความผ่านโซเชียลมีเดียส่วนตัว
เพื่อแจ้งข่าวการแขวนสตั๊ด เขาระบุว่า “ผมตัดสินใจที่จะยุติอาชีพนักฟุตบอลอาชีพของผมแล้ว ผมรู้สึกซาบซึ้งใจกับช่วงเวลาที่ผมได้สัมผัสกับฟุตบอล และผมจะไม่มีวันลืมมัน ผมขอขอบคุณทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเส้นทางอาชีพของผม”

อาชีพค้าแข้ง

ติอาโก้ เริ่มต้นอาชีพค้าแข้งกับบาร์เซโลน่า ก่อนจะย้ายไปเล่นให้
บาเยิร์น มิวนิค และ ลิเวอร์พูล เขาประสบความสำเร็จมากมายตลอดอาชีพ
คว้าแชมป์ลาลีก้า 2 สมัย แชมป์บุนเดสลีกา 4 สมัย แชมป์พรีเมียร์ลีก 1 สมัย และแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 2 สมัย



รางวัลส่วนตัวของ ติอาโก อัลกันตารา

ในฐานะที่เป็นหนึ่งในกองกลางที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในยุคปัจจุบัน ติอาโก อัลกันตารา คว้ารางวัลส่วนตัวมากมายตลอดอาชีพค้าแข้ง

รางวัลที่โด่งดัง:

  • รางวัลผู้เล่นดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีของยูฟ่า: 2013
  • รางวัลบราโว่: 2013
  • รางวัลทีมยอดเยี่ยมแห่งปีของยูฟ่า: 2015, 2020
  • รางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำนัดชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก: 2020
  • รางวัลฟุตบอลแห่งปีของสเปน: 2020
  • รางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลของลิเวอร์พูล: 2020/21

รางวัลอื่นๆ:

  • รางวัลทีมยอดเยี่ยมแห่งปีของฟีฟ่า: 2010, 2014
  • รางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลของบาเยิร์น มิวนิค: 2013/14, 2015/16, 2016/17
  • รางวัลทีมยอดเยี่ยมแห่งปีของลาลีกา: 2010/11, 2011/12, 2012/13
  • รางวัลทีมยอดเยี่ยมแห่งปีของบุนเดสลีกา: 2013/14, 2014/15, 2015/16, 2016/17, 2017/18, 2019/20
  • รางวัลทีมยอดเยี่ยมแห่งปีของพรีเมียร์ลีก: 2020/21

นี่คือรางวัลส่วนตัวที่โดดเด่นที่สุดของติอาโก้ อัลกันตารา แต่ยังมีรางวัลอื่นๆ อีกมากมายที่เขาได้รับการยกย่องสำหรับผลงานอันยอดเยี่ยมของเขา

มิดฟิลด์จอมเทคนิค

ติอาโก้ เป็นที่รู้จักในฐานะมิดฟิลด์จอมเทคนิค ด้วยทักษะการเลี้ยงบอล การจ่ายบอล และวิสัยทัศน์ที่ยอดเยี่ยม เขาได้รับการยกย่องจากแฟนบอลและนักวิเคราะห์ฟุตบอลทั่วโลก

การอำลา

การแขวนสตั๊ดของติอาโก้ ถือเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่สำหรับวงการฟุตบอล แฟนบอลจะคิดถึงเขาอย่างแน่นอน

เรอัล มาดริด ประกาศคว้าตัว “เอ็มบัปเป้”

0

แนวรุกชาวฝรั่งเศสตัดสินใจไม่ต่อสัญญาและประกาศอำลา ปารีส แซงต์-แชร์กแมง หลังจบฤดูกาลล่าสุด ทำให้สามารถย้ายทีมได้แบบฟรีค่าตัว

ล่าสุด เขาก็ได้กลายเป็นสมาชิกใหม่ของราชันชุดขาวตามคาด หลังจากตกเป็นข่าวกันมายาวนานหลายปีคีเลียน เอ็มบัปเป้ กองหน้าดาวรุ่งชาวฝรั่งเศส ตัดสินใจเซ็นสัญญากับเรอัล มาดริด ยักษ์ใหญ่แห่งลาลีก้า สเปน
เป็นการปิดฉากการคาดเดาเกี่ยวกับอนาคตของเขา

รายละเอียดสัญญา

  • เอ็มบัปเป้ เซ็นสัญญากับเรอัล มาดริด เป็นเวลา 5 ปี
  • คาดว่าเขาจะได้รับค่าเหนื่อย 25 ล้านยูโรต่อปี
  • เอ็มบัปเป้ จะสวมเสื้อหมายเลข 9 ซึ่งเคยเป็นของตำนานสโมสรอย่าง เบนเซม่า

การเปิดตัว

เอ็มบัปเป้ ได้รับการเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ที่สนามซานติอาโก้ เบร์นาเบว เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2024 แฟนบอลเรอัล มาดริด มากกว่า 50,000 คน เข้าร่วมต้อนรับกองหน้าคนใหม่
ขณะที่ เอ็มบัปเป้ ก็ได้โพสต์ผ่านโซเชียลมีเดียของตัวเองว่า “ฝันที่เป็นจริง. มีความสุขและภูมิใจมากที่ได้ร่วมทีมในฝันของผม เรอัล มาดริด”

ริคคาร์โด้ คาลาฟิโอรี่ เตรียมย้ายทีม

0

ประวัติ

ริคคาร์โด้ คาลาฟิโอรี่ เกิดเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2002 ที่กรุงโรม ประเทศอิตาลี เริ่มต้นอาชีพนักฟุตบอลกับสโมสรโรมาตั้งแต่ชุดเยาวชน โดยพาทีมคว้าแชมป์อิตาเลียน ยูธคัพ (U17) และ อิตาเลียน ซูเปอร์โคปปา (U17)

สถิติส่วนตัว

  • สโมสร
    • โรมา (2019-2021): ลงเล่น 3 นัด
    • โบโลญญ่า (2021-ปัจจุบัน): ลงเล่น 64 นัด ยิง 2 ประตู 5 แอสซิสต์
  • ทีมชาติ
    • อิตาลี U17: ลงเล่น 14 นัด
    • อิตาลี U19: ลงเล่น 9 นัด
    • อิตาลี U21: ลงเล่น 8 นัด
    • อิตาลีชุดใหญ่: ลงเล่น 4 นัด

รางวัลส่วนตัว

  • รางวัลผู้เล่นดาวรุ่งเซเรียอายอดเยี่ยมแห่งปี 2023

ข่าว

ริคคาร์โด้ คาลาฟิออรี่ ตกเป็นข่าวกับ สโมสรใหญ่ในยุโรปมากมาย เช่น ลิเวอร์พูล และ อาเซน่อล แต่สุดท้าย ก็เป็น อาเซน่อล ที่เปิดโต๊ะเจรจา
อาร์เซนอล ขยับเข้าใกล้ที่จะคว้า ริคคาร์โด้ คาลาฟิออรี่ เซนเตอร์แบ็กทีมชาติอิตาลี ของ โบโลญญ่า หลังตกลงเงื่อนไขส่วนตัวกับนักเตะได้แล้ว โดยเหลือเพียงแค่ให้ทั้งสองสโมสรเจรจาเรื่องค่าตัวกันให้ได้เท่านั้น

ฟาบริซิโอ โรมาโน่ เหยี่ยวข่าวลูกหนังคนดังชาวอิตาเลียน เป็นคนยืนยันข่าวดังกล่าว หลังโพสต์ข้อความลง เอ็กซ์ (ทวิตเตอร์) เมื่อวันศุกร์ที่ 5 ก.ค. ว่า “อาร์เซนอล ตกลงเงื่อนไขสัญญาของ ริคาร์โด้ คาลาฟิออรี่ ได้แล้วถึงเดือนมิถุนายน 2029” 

จู๊ด เบลลิงแฮม ว่าที่นักเตะที่จะคว้าบัลลงดอร์ปี 2024

0

จู๊ด เบลลิงแฮม กองกลางดาวรุ่ง เรอัล มาดริด ทำผลงานระดับโลกทั้งใน สโมสร และ ทีม ชาติ ในฟุตบอลยูโรครั้งนี้ ที่พาทีมชาติอังกฤษทะลุเข้าไปถึงรอบชิงได้สำเร็จ แต่ดันไปแพ้ทีมฟอร์มร้อนแรงอย่างสเปนในรอบชิง
ซึ่งผลงานส่วนตัวในสโมสร เรอัล มาดริด เจ้าตัวลงเล่นไป ถึง 42 นัด ยิงได้ 23 ประตู 12 แอสซิส เลยทีเดียว

เรอัล มาดริด เจ้าตัวลงเล่นไป ถึง 42 นัด ยิงได้ 23 ประตู 12 แอสซิส

ชาติอังกฤษ ลงเล่น 7 นัด ยิงได้ 2 ประตู 1 แอสซิส

สถิตินี้ถือว่าเป็นสถิติที่ดี่ที่สุดของเจ้าตัว และ น่าทึ่งมาก สำหรับผู้เล่นในตำแหน่ง กองกลาง

โดย จู๊ด เบลลิงแฮม ถือว่า เป็นนักเตะ ที่มีลุ้น รางวัล บัลลงดอร์ปี 2024 คาดการว่ารายชื่อของเขา ติด TOP 3 อย่างแน่นอน

จากผลงาน

➖ คว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปี้ยน ลีก
➖ คว้าแชมป์ลาลีกา
➖ พาอังกฤษเข้ารอบชิงยูโร

จู๊ด เบลลิงแฮม เตรียมเป็นนักเตะยุโรปที่อายุน้อยที่สุดที่คว้ารางวัลนี้ 21 ปี 3 เดือน 29 วัน 🏴󠁧󠁢󠁥󠁮󠁧󠁿🏟️

ซาวิโอ้ ปีกขวา บราซิลวัย 20 ปี ที่กำลังจะเซ็นสัญญากับ เเมนเชสเตอร์ ซิตี้

0

ตามรายงานน่าจะมีการประกาศข่าวดี (เปิดตัว) ตามมาทันทีในฐานะผู้เล่นคนใหม่ ของเรือใบสีฟ้า

“ซาวิโอ้ (Savinho)” หรือชื่อเต็ม Savio Moreira de Oliveira ศูนย์หน้าที่ได้ฉาบาวันเดอร์คิดของสโมสรอัตเลติโก มิไนโร่ ในลีก บราซีเลย์เรา แซรียีอา ประเทศบราซิล โดยล่าสุดทีมเรือใบสีฟ้าได้เร่งเครื่องเต็มที่สำหรับที่จะปิดดีลนี้ให้ได้ ซึ่งมูลค่าในดีลครั้งนี้นอกจากที่จะมีมูลค่าที่ถือว่าเยอะพอสมควรสำหรับค่าตัวของเด็กวัยเพียง 17 ปี แถมยังมีออฟชั่นเสริมเพื่อล่อใจให้สโมสรปล่อยตัว ซาวิโอ้ (Savinho)ออกจากทีหลังจากจบฤดูกาลนี้ด้วย

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้ยื่นข้อเสนอสำหรับการย้ายทีมของ ซาวิโอ้ ให้กับสโมสรอัตเลติโก มิไนโร่ พิจารณาครั้งแรกที่ 6.5 ล้านยูโร โดยมีออฟชั่นเสริมคือให้สโมสรงานจบจนฤดูกาลนี้ ซึ่งหากทางสโมสต้นสังกัดปฏิเสธในข้อเสนอนี้ ทางด้านเรือใบสีฟ้าก็พร้อมที่จะยื่นข้อเสนอใหม่อีกครั้ง ถ้าพูดภาษาง่าย ๆ ก็ตื้อเท่านั้นที่ครองโลก แต่ถึงไม่รับข้อเสนอนี้ สัญญาของ ซาวิโอ้ ก็จะหมดลงหลังจากจบฤดูกาลนี้เช่นกันนั่นหมายความว่าสโมสรไม่มีทางเลือกนอกจากจะปล่อยตัวศูนย์หน้ารายนี้ออกจากทีมที่เสนอเงื่อนไขเข้ามา
นอกจาก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็ยังมี อาร์เซน่อล อาร์บี ไลซิก เรดบูล ซัลซ์บวร์ก ซึ่งได้ให้ความสนใจกับเจ้าหนูรายนี้มาตั้งแต่ก่อนตลากนักเตะเดือนมกราคมเปิดซะอีก แต่ก็นั่นแหละมีเพียงเรือใบสีฟ้าเท่านั้นที่เอาจริงเอาจริงเดินเครื่องเต็มที่เพื่อที่จะคว้านักเตะรายนี้มาร่วมทีม

สเปน แชมป์ยูโร เยอะที่สุดในโลก

0

เหล่าคอบอลยุโรปเตรียมปรบมือรัวๆ ให้กับ “กระทิงดุ” ทีมชาติสเปน 🇪🇸 ที่เพิ่งคว้าแชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป
หรือที่รู้จักกันในชื่อยูโร ไปครองได้สำเร็จ กลายเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในทวีปยุโรป ณ เวลานี้!

โดยสเปนคว้าแชมป์ไปแล้วทั้งหมด 4 สมัย ดังนี้

  • ปี 1964
  • ปี 2008
  • ปี 2012
  • และล่าสุดในปี 2024

ซึ่งชัยชนะในปี 2024 นี้ ถือว่าพิเศษเป็นพิเศษ เพราะว่า:

  • พวกเขาชนะรวดทั้ง 7 นัดในทัวร์นาเมนต์
  • เป็นการคว้าแชมป์โดยไม่ต้องดวลจุดโทษแม้แต่นัดเดียว ⚽️
  • เป็นการคว้าแชมป์ยูโรสมัยที่ 4 มากที่สุดในประวัติศาสตร์รายการนี้

ปัจจุบันนี้ สเปนจึงครองตำแหน่งแชมป์ยูโรที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ทิ้งห่างคู่แข่งอย่าง
เยอรมนี และ อิตาลี ที่มี 3 สมัย 🇮🇹🇩🇪

ยิ่งไปกว่านั้น ชัยชนะในครั้งนี้ยังพิสูจน์ให้เห็นถึงพลังอันไร้เทียมทานของสเปน 🇪🇸 ที่ผสมผสานความเก๋าประสบการณ์เข้ากับนักเตะดาวรุ่งไฟแรงได้อย่างลงตัว

แฟนบอลชาวไทย ต่างก็รู้สึกตื่นเต้นและดีใจกับผลงานอันสุดยอดของสเปน 🇹🇭 ที่โชว์ฟอร์มการเล่นที่ดุดัน สวยงาม และน่าติดตาม ⚽️ สมกับฉายา “กระทิงดุ” จริงๆ

สเปน 🇪🇸 จงก้าวต่อไปด้วยความมุ่งมั่นและทุ่มเท รักษาแชมป์ และสร้างตำนานบทใหม่ต่อไป! ⚽️

สเปน เฉือนชนะ อังกฤษ 2-1 คว้าแชมป์ยูโร 2024!

0

การแข่งขัน: ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2024 รอบชิงชนะเลิศ สนาม: โอลิมเปียชตาดิโยน, เบอร์ลิน, เยอรมนี วันที่: 15 กรกฎาคม 2567 เวลา: 02:00 น. (ตามเวลาประเทศไทย)

สเปน 2-1 อังกฤษ ไฮไลท์ฟุตบอล ยูโร 2024 รอบชิงชนะเลิศ

เริ่มครึ่งแรก สเปน เป็นฝ่ายยบุกเข้าใส่มากกว่าแต่ยังไม่มีจังหวะจะแจ้งนัก จบครึ่งแรกเสมอกันไป 0-0
เริ่มครึ่งหลัง สเปน เปลี่ยนตัวเอา มาร์ติน ซูบีเมนดี้ ลงแทน โรดี้ ที่ได้รับบาดเจ็บ จากนั้นนาที 46 ลามีน ยามาล หหลุดมาทางขวาก่อนปาดให้ นิโก้ วิลเลี่ยมส์ ยิงขึ้นนำ 1-0
นาที 70 แกเร็ธ เซาธ์เกต ตัดสินใจส่ง โคล พาลเมอร์ ลงมาแทน ค็อบบี้ ไมนู และผ่านไปเพีย 3 นาที ซาก้าหลุดขึ้นมาทางขวาก่อนเข้ามาให้ เบลลิ่งแฮม ตั้งบอลหน้ากรอบให้ พาลเมอร์ ซัดไกลตีเสมอ 1-1
นาที 86 มาร์ค คูคูเรญ่า จะปาดบอลเข้ามาให้ มิเกล โอยาร์ซาบัล จิ้มบอลสวนตัวพิคฟอร์ดพา สเปน ขึ้นนำ 2-1

เหตุการณ์สำคัญ:

  • นาทีที่ 47: นิโก วิลเลียมส์ กองหน้าดาวรุ่งของสเปน ยิงประตูให้ทีมขึ้นนำ 1-0 ด้วย จากการแอสซิสของ ลามีน ยามัล
  • นาทีที่ 73: โคล พาล์มเมอร์ ตัวรุกของอังกฤษ ยิงประตูตีเสมอ 1-1 แบบสุดสวย
  • นาทีที่ 86: มิเกล โอยาร์ซาบัล ของสเปน ยิงประตูชัยให้ทีมคว้าชัยชนะ 2-1
  • สเปน คว้าแชมป์ยูโรสมัยที่ 4

ห้ามพลาด!