Home Blog Page 12

แข้งแมนยูบางส่วนเริ่มไม่เชื่อมั่นแท็กติกของ “อโมริม”

0

มีรายงานจากสื่ออังกฤษระบุว่า นักเตะบางส่วนของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กำลังเริ่มสูญเสียความเชื่อมั่นในแนวทางการทำทีมของ รูเบน อโมริม หลังจากที่ฟอร์มของทีมยังคงตกต่ำอย่างต่อเนื่อง


ผลงานย่ำแย่ทำให้ความเชื่อมั่นเริ่มสั่นคลอน

แมนฯ ยูไนเต็ด เพิ่งพ่ายให้กับ ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ 0-1 เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา นับเป็นความพ่ายแพ้ครั้งที่ 8 จาก 12 เกมหลังสุดในพรีเมียร์ลีก ส่งผลให้ทีมหล่นไปอยู่อันดับ 15 ของตาราง และมีแต้มห่างจากโซนตกชั้นเพียง 12 คะแนน

เดลี่ เมล รายงานว่าหลังเกมดังกล่าว นักเตะของ “ปีศาจแดง” ได้รวมตัวกันไปรับประทานอาหารนอกบ้านในเมืองแมนเชสเตอร์ เพื่อเรียกขวัญและกำลังใจก่อนเจอกับโปรแกรมหนักที่กำลังจะมาถึง


เริ่มตั้งคำถามถึงแท็กติกของอโมริม

จากรายงานเดียวกันระบุว่า นักเตะบางคนของ แมนฯ ยูไนเต็ด เริ่มมีข้อสงสัยเกี่ยวกับระบบการเล่นของ รูเบน อโมริม หลังจากที่กุนซือชาวโปรตุเกสคุมทีมไปแล้ว 21 นัด แต่เก็บชัยชนะได้เพียง 9 นัด นับตั้งแต่เข้ามารับตำแหน่งแทน เอริก เทน ฮาก เมื่อเดือนพฤศจิกายน

แม้ว่าส่วนใหญ่ยังคงให้การสนับสนุนเขา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าความเชื่อมั่นในวิธีการของเขาเริ่มลดลงเรื่อยๆ บางคนเชื่อว่าหากทีมชนะ ก็มักจะมาจากฟอร์มส่วนตัวของนักเตะหรือโชคช่วย มากกว่าการวางแท็กติกที่เหนือกว่า


ฤดูกาลที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร?

แมนฯ ยูไนเต็ด เผชิญปัญหาความขัดแย้งภายในมาอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นกรณีของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้, มาร์คัส แรชฟอร์ด และ เจดอน ซานโช่ ที่จบลงด้วยการอำลาทีมไปแบบเงียบๆ

อย่างไรก็ตาม มีการมองว่าผลงานของทีมในฤดูกาลนี้อาจแย่ที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกของสโมสร หากพวกเขาไม่สามารถเก็บชัยชนะได้อย่างน้อย 10 จาก 13 นัดสุดท้าย ของฤดูกาล


โปรแกรมหนักรออยู่ข้างหน้า

“ปีศาจแดง” มีภารกิจหนักรออยู่ โดยต้องบุกไปเยือน เอฟเวอร์ตัน ที่ฟอร์มกำลังแข็งแกร่ง จากนั้นจะเจอกับ อิปสวิช ทาวน์ ซึ่งกำลังดิ้นรนหนีตกชั้น ทำให้เกมที่เหลือของฤดูกาลนี้จะเป็นบททดสอบสำคัญสำหรับอนาคตของ รูเบน อโมริม และทีมแมนเชส

โทมิยาสุ ผ่าตัดหัวเข่าครั้งที่สอง ปิดฉากฤดูกาลนี้เรียบร้อย

0

ทาเคฮิโระ โทมิยาสุ กองหลังทีมชาติญี่ปุ่นของ อาร์เซน่อล ได้เข้ารับการผ่าตัดหัวเข่าครั้งที่สองเป็นที่เรียบร้อย และจะหมดสิทธิ์ลงสนามในช่วงที่เหลือของฤดูกาลนี้


บาดเจ็บเรื้อรัง ทำให้ต้องพักยาวทั้งซีซั่น

เซ็นเตอร์แบ็กวัย 26 ปี มีปัญหาอาการบาดเจ็บหัวเข่าอย่างต่อเนื่อง โดยฤดูกาลนี้เขาเพิ่งได้ลงเล่นเพียง 6 นาที เท่านั้น ซึ่งเกิดขึ้นในเกมที่ “ปืนใหญ่” เอาชนะ เซาแธมป์ตัน เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา หลังจากที่เพิ่งฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บก่อนหน้านี้

อย่างไรก็ตาม อาการบาดเจ็บกลับมาเล่นงานอีกครั้ง ทำให้ อาร์เซน่อล ตัดสินใจส่งตัวเขาเข้ารับการผ่าตัดเป็นครั้งที่สอง เพื่อแก้ปัญหาให้หายขาด ส่งผลให้เขาจะต้องใช้เวลาพักฟื้นอีกหลายเดือน และพลาดการลงสนามในช่วงที่เหลือของฤดูกาล


โทมิยาสุ เปิดใจหลังผ่าตัด

เจ้าตัวได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่าน อินสตาแกรมส่วนตัว หลังเข้ารับการผ่าตัดว่า

“ผมเพิ่งเข้ารับการผ่าตัดหัวเข่าเมื่อไม่กี่วันก่อน และตอนนี้ก็เริ่มทำกายภาพบำบัดเพื่อกลับมาทำในสิ่งที่รักอีกครั้ง”

“นี่เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดในอาชีพของผม และมันยังคงดำเนินต่อไปอีกสักระยะ แต่ผมจะไม่ยอมแพ้ ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจ แล้วพบกันใหม่”


อนาคตในถิ่นเอมิเรตส์ยังไม่แน่นอน

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2023 โทมิยาสุเคยเข้ารับการผ่าตัดหัวเข่ามาแล้ว และต้องพักนานถึง 3 เดือน ทำให้การผ่าตัดครั้งนี้กลายเป็นเรื่องน่ากังวลสำหรับเส้นทางอาชีพของเขา

ปัจจุบันสัญญาของ โทมิยาสุ กับ อาร์เซน่อล เหลืออีก 18 เดือน แต่ด้วยการที่ทีมมีตัวเลือกในแนวรับค่อนข้างเยอะ ทำให้มีโอกาสที่สโมสรอาจพิจารณาปล่อยตัวเขาออกจากทีมในช่วงซัมเมอร์นี้ หากได้รับข้อเสนอที่เหมาะสม

เปแอสเช เดินหน้าล่าตัว กรีนวู้ด แมนยู รอรับส่วนแบ่ง

0

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อาจได้รับเงินก้อนโตจากข้อตกลงส่วนแบ่งค่าตัวของ เมสัน กรีนวู้ด หลังมีรายงานว่า ปารีส แซงต์-แชร์กแมง กำลังพิจารณาคว้าตัวแนวรุกชาวอังกฤษมาร่วมทีมในช่วงซัมเมอร์นี้


เปแอสเช ยื่นข้อเสนอ 75 ล้านยูโร – แมนฯ ยูไนเต็ด เตรียมรับทรัพย์

กรีนวู้ด ย้ายจาก แมนฯ ยูไนเต็ด ไปอยู่กับ โอลิมปิก มาร์กเซย เมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา ด้วยค่าตัว 31.6 ล้านยูโร พร้อมเซ็นสัญญาระยะยาว 5 ปี อย่างไรก็ตาม จากรายงานของสื่อสเปน Fichajes ระบุว่า “ปีศาจแดง” ได้ใส่เงื่อนไขส่วนแบ่งค่าตัวไว้ที่ 40-50% หากมีการขายนักเตะในอนาคต

ล่าสุด เปแอสเช ได้ยื่นข้อเสนอแรกมูลค่า 75 ล้านยูโร ให้กับ มาร์กเซย พิจารณา ซึ่งหากดีลนี้เกิดขึ้น แมนฯ ยูไนเต็ด จะได้รับเงินส่วนแบ่งประมาณ 30 ล้านยูโร (40%) หรือสูงสุดถึง 37.5 ล้านยูโร (50%) ตามเงื่อนไขที่ตกลงไว้


ฟอร์มร้อนแรงในลีกเอิง ดึงดูดทีมยักษ์ใหญ่

กรีนวู้ด กำลังทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมกับ มาร์กเซย ฤดูกาลนี้ โดยลงสนามไปแล้ว 22 นัด ยิงไป 14 ประตู และทำ 3 แอสซิสต์ มีส่วนสำคัญช่วยทีมรั้งอันดับ 2 ของศึก ลีก เอิง ทำให้กลายเป็นที่จับตามองของหลายสโมสรในยุโรป

การย้ายทีมของ กรีนวู้ด กลายเป็นหนึ่งในดีลที่น่าจับตาช่วงซัมเมอร์นี้ และหาก เปแอสเช ปิดดีลได้สำเร็จ แมนฯ ยูไนเต็ด จะได้รับผลประโยชน์ทางการเงินที่เป็นกอบเป็นกำจากการขายแข้งรายนี้ออกไป

แมนฯ ซิตี้ เล็งคว้า “เวิร์ตซ์” เสริมแดนกลาง ซัมเมอร์นี้

0

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กำลังพิจารณาคว้าตัว ฟลอเรียน เวิร์ตซ์ เพลย์เมกเกอร์ตัวเก่งของ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น มาเป็นส่วนหนึ่งของแผนปรับโครงสร้างทีมในช่วงซัมเมอร์ โดยมองว่าแข้งทีมชาติเยอรมนีรายนี้เป็นตัวแทนระยะยาวของ เควิน เดอ บรอยน์


เวิร์ตซ์ โชว์ฟอร์มเด่น – บาเยิร์น, มาดริด พร้อมร่วมวงล่าตัว

กองกลางวัย 21 ปี ทำผลงานโดดเด่นกับ เลเวอร์คูเซ่น ในฤดูกาลนี้ โดยยิงและแอสซิสต์รวมกันไปแล้ว 27 ประตู จนกลายเป็นหนึ่งในดาวรุ่งที่น่าจับตามองที่สุดในยุโรป ไม่เพียงแค่ แมนฯ ซิตี้ ที่ต้องการตัวเขา แต่ บาเยิร์น มิวนิค ยักษ์ใหญ่จากบุนเดสลีกา และ เรอัล มาดริด ก็ต่างให้ความสนใจแข้งรายนี้เช่นกัน

ปัจจุบัน เวิร์ตซ์ มีค่าตัวประเมินอยู่ที่ราว 85 ล้านปอนด์ และทาง เลเวอร์คูเซ่น กำลังพยายามรั้งตัวด้วยการเสนอสัญญาฉบับใหม่ แม้ว่าสัญญาปัจจุบันของเขาจะยังเหลืออยู่ถึงปี 2027


แมนฯ ซิตี้ วางแผนเสริมกลางแทน เดอ บรอยน์

แม้ว่า แมนฯ ซิตี้ จะไม่ได้เสริมทัพในช่วงตลาดเดือนมกราคมที่ผ่านมา แต่มีความเข้าใจกันภายในสโมสรว่า การหาตัวแทน เดอ บรอยน์ คือภารกิจสำคัญ เนื่องจากสัญญาของมิดฟิลด์ชาวเบลเยียมกำลังเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้าย และเขาจะมีอายุครบ 34 ปี ในเดือนมิถุนายนนี้

เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ต้องการลดอายุเฉลี่ยของทีม และการคว้าตัว เวิร์ตซ์ อาจเป็นก้าวสำคัญสำหรับการสร้างทีมในระยะยาว อย่างไรก็ตาม บาเยิร์น มิวนิค ภายใต้การคุมทีมของ แวงซองต์ กอมปานี และ เรอัล มาดริด ต่างก็พร้อมที่จะยื่นข้อเสนอแข่งกับ แมนฯ ซิตี้ ในช่วงซัมเมอร์นี้

ตลาดซื้อขายนักเตะรอบหน้ายังคงเปิดกว้าง และ เวิร์ตซ์ กำลังจะกลายเป็นหนึ่งในแข้งที่เนื้อหอมที่สุดของยุโรปในปี 2024

“จู๊ด” ส่อแววโดนแบนสูงสุด 12 นัด หลังสบทใส่ผู้ตัดสิน

0

จู๊ด เบลลิงแฮม กองกลางตัวเก่งของ เรอัล มาดริด อาจเผชิญบทลงโทษหนักถึง 12 นัด จากกรณีได้รับใบแดงในเกมที่ทีมของเขาเสมอ โอซาซูน่า 1-1 เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ซึ่งมีรายงานว่าเจ้าตัวใช้คำพูดไม่เหมาะสมใส่ผู้ตัดสิน แม้ทั้งนักเตะและสโมสรจะออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหานี้ก็ตาม


เรอัล มาดริด เตรียมยื่นอุทธรณ์ หลัง เบลลิงแฮม ถูกใบแดง

เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงท้ายเกม เมื่อ เบลลิงแฮม ถูกไล่ออกจากสนามหลังจากพูดบางอย่างที่ถูกมองว่าเป็นการไม่ให้เกียรติผู้ตัดสิน ซึ่งแม้เจ้าตัวจะพยายามชี้แจงว่าไม่ได้มีเจตนาดูหมิ่นกรรมการ แต่ โฆเซ่ หลุยส์ มูนูเอร่า มอนเตโร่ ผู้ตัดสินในเกมนี้ยังคงยืนยันการตัดสินของตน

เรอัล มาดริด ไม่ได้นิ่งนอนใจ และเตรียมยื่นอุทธรณ์ต่อ สหพันธ์ฟุตบอลสเปน (RFEF) เพื่อขอลดโทษของดาวเตะทีมชาติอังกฤษรายนี้


บทลงโทษอาจหนักถึง 12 นัด หากอุทธรณ์ไม่ผ่าน

สื่ออังกฤษ “เดลี่ เมล” รายงานว่ากฎระเบียบของ RFEF ระบุชัดเจนเกี่ยวกับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมต่อผู้ตัดสินว่า

“นักเตะที่มีความผิดฐานดูหมิ่นหรือแสดงท่าทีไม่ให้เกียรติผู้ตัดสิน ผู้ช่วยผู้ตัดสิน เจ้าหน้าที่เทคนิค หรือบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการแข่งขัน อาจถูกแบนตั้งแต่ 4 ถึง 12 นัด

หากการอุทธรณ์ของ มาดริด ไม่สำเร็จ เบลลิงแฮม อาจพลาดลงสนามในเกม ลา ลีกา กับ คิโรน่า, เรอัล เบติส และ ราโย บาเยกาโน่ รวมถึง รอบรองชนะเลิศโกปา เดล เรย์ เลกแรก กับ เรอัล โซเซียดาด และหากโทษสูงสุดถูกบังคับใช้ เขาอาจหมดสิทธิ์ลงเล่นเกือบครึ่งฤดูกาล


“จู๊ด” แจงไม่อยากให้เรื่องบานปลาย เชื่อหลักฐานช่วยเคลียร์ข้อกล่าวหา

หลังเหตุการณ์ดังกล่าว เบลลิงแฮม ออกมาให้สัมภาษณ์สั้นๆ ว่า

“ผมไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีก มันเป็นเพียงความเข้าใจผิด ผมไม่เคยมีเจตนาดูหมิ่นกรรมการ และผมก็ได้ขอโทษเพื่อนร่วมทีมไปแล้วที่ทำให้พวกเขาต้องเจอสถานการณ์แบบนี้”

“ผมเชื่อว่าหลักฐานจากวิดีโอจะช่วยยืนยันทุกอย่าง ขอบคุณแฟนๆ ที่เข้าใจ และหวังว่าจะได้พบกันในเกมวันพุธนี้ที่ ซานติอาโก้ เบร์นาเบว


สื่อสเปนขุดอดีตเชิ้ตดำ เคยมีประเด็นกับ เรอัล มาดริด มาก่อน

นอกจากกรณีของ เบลลิงแฮม สื่อสเปนยังขุดคุ้ยประวัติของ โฆเซ่ หลุยส์ มูนูเอร่า มอนเตโร่ ผู้ตัดสินในเกมนี้ โดยระบุว่าเขาเคยมีพฤติกรรมที่ถูกมองว่า อคติ ต่อ เรอัล มาดริด มาก่อน

ในเกมที่ เออิบาร์ ถล่ม เรอัล มาดริด 3-0 เมื่อปี 2018 ซึ่งขณะนั้น มอนเตโร่ ทำหน้าที่เป็น ผู้ตัดสิน VAR เขาถูกจับภาพได้ว่ามีการแสดงท่าทางดีใจ หลังตรวจสอบภาพช้าและยืนยันว่า ประตูขึ้นนำของ เออิบาร์ ไม่ล้ำหน้า ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าเป็นการแสดงออกที่ไม่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม ก็มีมุมมองตรงข้ามที่เชื่อว่าเขาเพียงแค่พอใจที่ตัดสินได้ถูกต้องเท่านั้น


เรอัล มาดริด ต้องลุ้นผลอุทธรณ์ก่อนเกมสำคัญ

ขณะนี้ เรอัล มาดริด กำลังเตรียมยื่นอุทธรณ์เพื่อให้โทษของ เบลลิงแฮม ลดลง แต่หากไม่เป็นผล พวกเขาอาจต้องรับมือกับช่วงเวลาที่ยากลำบากใน ลา ลีกา และโกปา เดล เรย์ โดยไม่มีแข้งตัวหลักรายนี้ในทีม

“เป๊ป” รับ แมนฯ ซิตี้ มีโอกาสแค่ 1% ขนะ เรอัล มาดริด

0

เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กุนซือของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ออกมายอมรับว่าทีมของเขามีโอกาสเพียง 1% ที่จะพลิกสถานการณ์เอาชนะ เรอัล มาดริด และผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายของ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก


สถานการณ์ของ แมนฯ ซิตี้ ก่อนบุกเบอร์นาเบว

แมนฯ ซิตี้ กำลังเผชิญกับภารกิจสุดหินในการลุ้นตั๋วเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย หลังจากพ่ายให้กับ ราชันชุดขาว ในเลกแรก 2-3 คารังเอติฮัด สเตเดี้ยม เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้พวกเขาต้องบุกไปเล่นที่ ซานติอาโก้ เบอร์นาเบว ในวันพุธที่ 19 กุมภาพันธ์ นี้ โดยต้องการชัยชนะเพื่อพลิกสถานการณ์เข้ารอบ

แม้ว่าเกมล่าสุด แมนฯ ซิตี้ จะเรียกความมั่นใจกลับมาได้บ้าง หลังจากเปิดบ้านถล่ม นิวคาสเซิ่ล 4-0 จากแฮตทริกของ โอมาร์ มาร์มูช แต่ กวาร์ดิโอล่า ยังมองว่าทีมของเขามีโอกาสเพียงน้อยนิดในการคว่ำ เรอัล มาดริด


เป๊ป ยอมรับ “เรามีแค่ 1% แต่จะสู้เต็มที่”

กวาร์ดิโอล่า เปิดใจถึงความท้าทายครั้งนี้ว่า

“ทุกคนรู้ดีว่าการบุกไปชนะที่ เบอร์นาเบว เป็นเรื่องที่ยากขนาดไหน ถ้าถามว่าโอกาสผ่านเข้ารอบมีเท่าไหร่? ผมไม่รู้แน่ชัดหรอก แต่มันคงน้อยมาก อาจจะราวๆ 1% หรืออาจจะน้อยกว่านั้นด้วยซ้ำ”

“แต่ตราบใดที่เรายังมีโอกาส เราจะสู้ให้เต็มที่ เราจะพยายามทำเหมือนที่เราทำมาตลอด แต่ความจริงก็คือ ฤดูกาลนี้เรายังไม่ดีพอ เรายังห่างไกลจากเป้าหมาย และผลงานโดยรวมของเรายังไม่อยู่ในระดับที่ควรจะเป็น”

“เกมกับ นิวคาสเซิ่ล เราเล่นได้ดี แต่มันไม่ได้เปลี่ยนแปลงความจริงอะไร มันก็ดีกว่าการเดินทางไปมาดริดพร้อมกับฟอร์มที่ย่ำแย่ แต่สุดท้ายแล้วเรายังคงตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบาก”

“ถ้าผลการแข่งขันในเลกแรกออกมาดีกว่านี้ เช่น นำ 2-1 จนถึง 5 นาทีสุดท้าย มันอาจจะต่างออกไป แต่เรามีโอกาสแค่ 1% เท่านั้น และเราจะดูว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น”


แมนฯ ซิตี้ ต้องลุ้นปาฏิหาริย์ที่เบอร์นาเบว

แมนฯ ซิตี้ เคยเอาชนะ เรอัล มาดริด ได้ในเกมเยือนมาก่อน แต่กับสถานการณ์ที่พวกเขาเป็นรองและต้องบุกไปคว้าผลการแข่งขันที่ต้องการในสนามที่ ราชันชุดขาว มักแข็งแกร่งเสมอ ย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย

แม้ กวาร์ดิโอล่า จะพูดถึงโอกาสเพียง 1% แต่ด้วยสไตล์ของ แมนฯ ซิตี้ พวกเขาย่อมไม่ยอมแพ้ง่ายๆ และพร้อมที่จะทุ่มเททุกอย่างเพื่อสร้างปาฏิหาริย์ที่ ซานติอาโก้ เบอร์นาเบว

“เอแดร์ซอน” ผู้รักษาประตูที่แอสซิสต์สูงสุดในพรีเมียร์ลีก

0

เอแดร์ซอน ผู้รักษาประตูมือหนึ่งของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จารึกชื่อในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก ด้วยการเป็นผู้รักษาประตูที่ทำแอสซิสต์ได้มากที่สุด หลังจากทำแอสซิสต์สำคัญในเกมที่ “เรือใบสีฟ้า” เปิดบ้านถล่ม นิวคาสเซิ่ล 4-0


จอมเปิดบอลแม่นยำ เปลี่ยนเกมเป็นประตู

ในเกมดังกล่าว เอแดร์ซอน วัย 31 ปี โชว์ศักยภาพการเปิดบอลอันแม่นยำด้วยการจ่ายบอลยาวให้ โอมาร์ มาร์มูช หลุดเข้าไปทำประตูเบิกร่องที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม ก่อนที่แนวรุกชาวอียิปต์จะกดแฮตทริกพา แมนฯ ซิตี้ คว้าชัยไปอย่างขาดลอย

แอสซิสต์นี้ทำให้ เอแดร์ซอน สร้างสถิติใหม่แซงหน้า พอล โรบินสัน อดีตนายทวารทีมชาติอังกฤษ กลายเป็นผู้รักษาประตูที่ทำแอสซิสต์มากที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก โดยยอดรวมของเขาเพิ่มขึ้นเป็น 6 แอสซิสต์ เหนือกว่า โรบินสัน ที่เคยทำไว้ 5 ครั้ง สมัยเฝ้าเสาให้ ลีดส์ ยูไนเต็ด, ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์, แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส และ เบิร์นลีย์


ผู้รักษาประตูคนแรกที่ทำ 3 แอสซิสต์ในฤดูกาลเดียว

ฤดูกาล 2024-25 ถือเป็นปีที่ เอแดร์ซอน โชว์ฟอร์มเด่นในการเปิดบอลยาวเพื่อเปลี่ยนเป็นโอกาสทำประตู โดยเขากลายเป็น ผู้รักษาประตูคนแรกในพรีเมียร์ลีกที่ทำ 3 แอสซิสต์ได้ในฤดูกาลเดียว

หากนับรวมทุกรายการ เจ้าตัวทำไปแล้ว 7 แอสซิสต์ โดยแบ่งเป็น 6 ครั้งในพรีเมียร์ลีก และอีก 1 ครั้งในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ซึ่งหนึ่งในแอสซิสต์ที่น่าจดจำที่สุดคือ การจ่ายบอลให้ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ยิงประตูในเกมพบ ชาลเก้ รอบ 16 ทีมสุดท้ายของแชมเปี้ยนส์ลีก ฤดูกาล 2018-19


ความแม่นยำและการใช้สนามให้เป็นประโยชน์

ที่น่าสนใจคือ ทั้ง 6 แอสซิสต์ของเอแดร์ซอนในพรีเมียร์ลีก ล้วนเกิดขึ้นในเกมเหย้า ซึ่งสะท้อนถึงการใช้ประโยชน์จากพื้นที่และขนาดของสนาม เอติฮัด สเตเดี้ยม ในการวางบอลยาวฉีกแนวรับคู่แข่ง

แม้ว่า เอแดร์ซอน จะขึ้นชื่อเรื่อง การจ่ายบอลสั้นที่แม่นยำ ในระบบของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า แต่เขายังมี วิสัยทัศน์และเทคนิคในการเปิดบอลยาว ที่สร้างโอกาสทำประตูได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถือเป็นหนึ่งในผู้รักษาประตูที่มีทักษะครบเครื่องมากที่สุดในฟุตบอลยุคปัจจุบัน

ด้วยคุณสมบัติที่ครบครันทั้ง การป้องกันประตู, การครองบอล และการจ่ายบอล เอแดร์ซอน ยังคงเป็นฟันเฟืองสำคัญของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ช่วยให้ทีมเล่นเกมรุกได้อย่างไหลลื่น และเพิ่มมิติใหม่ให้กับตำแหน่งผู้รักษาประตูในยุคสมัยใหม่

ใบแดง เบลลิงแฮม เกินกว่าเหตุ!

0

อันเชลอตติ เดือด! มองใบแดง เบลลิงแฮม เกินกว่าเหตุ เกมเจ๊า โอซาซูน่า

คาร์โล อันเชลอตติ กุนซือ เรอัล มาดริด ออกโรงวิจารณ์การตัดสิน หลัง จู๊ด เบลลิงแฮม โดนใบแดงในเกมเสมอ โอซาซูน่า 1-1 โดยยืนยันว่ากองกลางชาวอังกฤษไม่ได้พูดจาดูหมิ่นกรรมการ

ศึก ลา ลีกา สเปน เมื่อคืนวันเสาร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา “ราชันชุดขาว” ต้องเผชิญสถานการณ์ที่ยากลำบาก แม้ คีลิยัน เอ็มบัปเป้ จะยิงให้ทีมขึ้นนำตั้งแต่นาทีที่ 15 แต่ช่วงท้ายครึ่งแรก พวกเขากลับต้องเหลือผู้เล่นเพียง 10 คน หลัง เบลลิงแฮม โดนใบแดงจากคำพูดที่ถูกมองว่าเป็นการดูถูกผู้ตัดสิน

โอซาซูน่า อาศัยความได้เปรียบเรื่องตัวผู้เล่น และมาตามตีเสมอได้สำเร็จในนาทีที่ 58 จากลูกจุดโทษของ อันเต บูดิมีร์ ส่งผลให้ เรอัล มาดริด เก็บเพิ่มเพียงแต้มเดียวจากเกมนี้

หลังจบการแข่งขัน อันเชลอตติ แสดงความไม่พอใจอย่างชัดเจน โดยระบุว่าผู้ตัดสินตีความคำพูดของ เบลลิงแฮม ผิดพลาดจนเป็นเหตุให้แข้งวัย 21 ปี ถูกไล่ออก

“นี่คือการตัดสินที่เข้มงวดเกินไป ผมเชื่อว่าผู้ตัดสินไม่เข้าใจบริบทของภาษาอังกฤษดีพอ เบลลิงแฮมแค่พูดว่า ‘f*ck off’ ซึ่งในความหมายจริงๆ มันไม่ได้เป็นการดูถูก แต่เหมือนเป็นการบอกให้ปล่อยเขาไปเท่านั้น แต่กรรมการกลับมองว่าเป็นคำหยาบคายและแจกใบแดง ซึ่งมันรุนแรงเกินไป” กุนซือชาวอิตาลีกล่าว

ด้าน เบลลิงแฮม เองก็ออกมายืนยันว่าตนไม่ได้ตั้งใจดูถูกผู้ตัดสินแต่อย่างใด

“ผมไม่ได้สบถใส่เขาโดยตรง และผมหันหลังให้แล้วตอนที่พูดออกไป โชคดีที่มีภาพวิดีโอที่แสดงให้เห็นว่ามันเป็นการเข้าใจผิด ผมได้ขอโทษเพื่อนร่วมทีมไปแล้ว เพราะมันส่งผลกระทบต่อเกม”

ผลจากการเสมอในเกมนี้ทำให้ เรอัล มาดริด ขยับไปมี 51 คะแนนจาก 24 นัด นำ แอตเลติโก มาดริด อันดับสองอยู่ 2 แต้ม ขณะที่ทีมตราหมีมีคิวลงสนามดึกกว่าในเกมพบ เซลตา บีโก ซึ่งอาจส่งผลต่อสถานการณ์ลุ้นแชมป์ในช่วงโค้งสุดท้ายของฤดูกาล

แฟนสเปอร์สเตรียมประท้วงขับไล่ “เลวี่”

0

กลุ่มแฟนบอล ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ วางแผนประท้วงใหญ่ เรียกร้องให้ ดาเนี่ยล เลวี่ ก้าวลงจากตำแหน่งประธานสโมสร ก่อนเกมที่ทีมจะเปิดบ้านพบกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดยพวกเขามองว่าผู้บริหารให้ความสำคัญกับผลกำไรมากกว่าความสำเร็จของสโมสร


ความไม่พอใจที่สะสมมายาวนาน

ดาเนี่ยล เลวี่ ดำรงตำแหน่งประธานสเปอร์สมานานกว่า 24 ปี และแม้ว่าสโมสรจะเติบโตขึ้นอย่างมากในเชิงธุรกิจและรายได้ แต่ความสำเร็จในสนามกลับสวนทางอย่างสิ้นเชิง นับตั้งแต่คว้าแชมป์ ลีก คัพ ฤดูกาล 2007/08 สโมสรไม่สามารถคว้าแชมป์ใดๆ ได้เลยเป็นเวลากว่า 17 ปี

แม้ทีมจะเคยมีโอกาสลุ้นแชมป์ โดยเฉพาะในปี 2019 ที่ทะลุถึงรอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แต่สุดท้ายก็พลาดไป ขณะที่อันดับในพรีเมียร์ลีกก็ไม่เคยติด ท็อป 3 เลยนับตั้งแต่ปี 2018


ปัญหาการบริหารและค่าใช้จ่ายแฟนบอล

แม้ผลงานในสนามจะซบเซา แต่ ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ กลับประสบความสำเร็จอย่างมากในด้านรายได้ ฤดูกาลที่แล้วพวกเขากวาดรายได้ถึง 615 ล้านปอนด์ และเป็นหนึ่งในสโมสรที่ทำกำไรสูงสุดของโลก อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายของแฟนบอลกลับเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยตั๋วเข้าชมเกมสำหรับผู้ใหญ่มีราคา 856 ปอนด์ ซึ่งแพงเป็นอันดับ 2 ของยุโรป

ปัจจัยเหล่านี้ทำให้แฟนบอลจำนวนมากเริ่มหมดความอดทนกับนโยบายของ เลวี่ และกลุ่มแฟนบอล Change for Tottenham ได้ออกมาเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านแนวทางการบริหารที่เน้นผลกำไรมากกว่าความสำเร็จในสนาม


แผนการประท้วงและข้อเรียกร้อง

แฟนบอลจำนวนหลายร้อยคนคาดว่าจะเข้าร่วมการประท้วงครั้งนี้ โดยพวกเขาจะรวมตัวกันก่อนเริ่มการแข่งขัน และแสดงจุดยืนด้วยสโลแกน “L£VY OUT” และ “Profit before Glory” (กำไรก่อนเกียรติยศ) พร้อมเดินขบวนไปยังสนาม ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ สเตเดี้ยม

หลังจากนั้น กลุ่มแฟนบอลที่เข้าชมเกมจะทำการ “นั่งประท้วง” (sit-in protest) ตลอดการแข่งขันบริเวณอัฒจันทร์ฝั่งใต้ เพื่อแสดงออกถึงความไม่พอใจที่สโมสรมุ่งเน้นธุรกิจมากกว่าการแข่งขัน


สถานการณ์ปัจจุบันของสเปอร์ส

ผลงานของ ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ ฤดูกาลนี้ก็ไม่เป็นที่น่าพอใจ โดยพวกเขาหล่นไปอยู่อันดับ 14 ของตารางพรีเมียร์ลีก และตกรอบทั้ง เอฟเอ คัพ และ คาราบาว คัพ ไปเรียบร้อยแล้ว ส่งผลให้แฟนบอลยิ่งหมดความอดทนและต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงในการบริหารทีม

การประท้วงครั้งนี้จะส่งแรงกดดันให้บอร์ดบริหารมากเพียงใด และจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงหรือไม่ คงต้องติดตามกันต่อไป

อาร์เซน่อล บุกเชือด เลสเตอร์ 2-0 ไล่จี้จ่าฝูงเหลือ 4 แต้ม

0

อาร์เซน่อล มาได้สองประตูในช่วงท้ายเกม บุกเอาชนะ เลสเตอร์ ซิตี้ 2-0 เก็บสามแต้มสำคัญไล่จี้ ลิเวอร์พูล เหลือ 4 คะแนน แม้จะแข่งมากกว่าหนึ่งนัดก็ตาม


รูปเกมครึ่งแรก: อาร์เซน่อลครองบอล แต่ยังไร้สกอร์

รุด ฟาน นิสเตลรอย กุนซือของ เลสเตอร์ ซิตี้ กำลังเผชิญปัญหาฟอร์มการเล่นในบ้านอย่างหนัก โดยก่อนเกมนี้ทีมไม่ชนะในลีกมา 4 นัดติด และยังยิงประตูในบ้านไม่ได้เลย เกมนี้มีการปรับทัพบางจุด โดย เจมี่ วาร์ดี้ และ วิคตอร์ คริสเตียนเซ่น ได้รับโอกาสออกสตาร์ตแทน พัตสัน ดาก้า และ ลุค โธมัส

ทางฝั่ง มิเกล อาร์เตต้า กำลังพา อาร์เซน่อล ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่แพ้ในลีกมา 14 นัดติดต่อกัน โดยนัดล่าสุดเพิ่งเปิดบ้านถล่ม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 5-1 อย่างไรก็ตาม ปัญหาผู้เล่นแนวรุกบาดเจ็บทำให้ อีธาน วาเนรี่ ได้รับโอกาสลงตัวจริงร่วมกับ เลอันโดร ทรอสซาร์ และ ราฮีม สเตอร์ลิง

เกมเริ่มต้นขึ้นโดย อาร์เซน่อล เป็นฝ่ายครองบอลได้มากกว่า และมีโอกาสทักทายในนาทีที่ 9 จากจังหวะที่ มาร์ติน โอเดการ์ด จ่ายบอลทะลุให้ เลอันโดร ทรอสซาร์ ได้ยิงในเขตโทษ แต่บอลไปเข้ามือของ แมดส์ เฮอร์มันเซ่น อย่างไรก็ตาม จังหวะนี้ถูกจับเป็นลูกล้ำหน้าก่อนแล้ว

เลสเตอร์ มีโอกาสบ้างในนาทีที่ 10 เมื่อ วิลเฟร็ด เอ็นดิดี้ ได้ลองยิงไกลจากนอกเขตโทษ แต่บอลตรงตัว ดาบิด ราย่า

แม้ว่า อาร์เซน่อล จะเป็นฝ่ายครองเกมได้เหนือกว่า แต่ยังไม่สามารถเจาะแนวรับเจ้าบ้านได้ เกมผ่าน 35 นาที ทีมของ อาร์เตต้า เพิ่งมาได้ลูกเตะมุมแรกของเกม

ท้ายครึ่งแรก เลสเตอร์ มีลุ้นขึ้นนำจากจังหวะโหม่งของ เอ็นดิดี้ ในช่วงทดเวลาเจ็บ แต่บอลหลุดกรอบไปอย่างน่าเสียดาย จบ 45 นาทีแรก สกอร์ยัง 0-0


ครึ่งหลัง: อาร์เซน่อลเร่งเครื่อง กดสองประตูช่วงท้ายเกม

กลับมาครึ่งหลัง อาร์เซน่อล เดินเกมรุกเข้าใส่ต่อเนื่อง แต่กว่าจะได้ประตูขึ้นนำต้องรอถึงนาทีที่ 81 จากจังหวะที่ อีธาน วาเนรี่ เปิดบอลจากฝั่งขวาเข้ามาให้ กาเบรียล มากัลเญส โฉบมาโหม่งเข้าประตูไปอย่างเด็ดขาด ส่งให้ เดอะ กันเนอร์ส ออกนำ 1-0

จากนั้นนาทีที่ 87 ทีมเยือนมาได้ประตูปิดกล่องเมื่อ เลอันโดร ทรอสซาร์ เปิดบอลจากริมเส้นฝั่งซ้ายมาให้ มิเกล เมอริโน่ ตัวสำรอง ยิงจ่อๆ ที่เสาสองเข้าไป อาร์เซน่อลนำ 2-0 และรักษาสกอร์ไว้ได้จนจบเกม


ตารางคะแนนล่าสุด: อาร์เซน่อลไล่บี้ลิเวอร์พูลต่อ ส่วนเลสเตอร์ต้องดิ้นรนหนีตกชั้น

ชัยชนะนัดนี้ทำให้ อาร์เซน่อล เก็บเพิ่มเป็น 53 คะแนนจาก 25 นัด ตามหลังจ่าฝูง ลิเวอร์พูล เหลือเพียง 4 คะแนน แม้ว่าพวกเขาจะลงเล่นมากกว่าอยู่หนึ่งนัดก็ตาม

ส่วน เลสเตอร์ ซิตี้ ยังคงมี 17 แต้ม เท่าเดิม อยู่อันดับ 18 ของตาราง ต้องลุ้นหนีตกชั้นต่อไป


รายชื่อ 11 ตัวจริงของทั้งสองทีม

เลสเตอร์ ซิตี้ (4-2-3-1)
ผู้รักษาประตู: แมดส์ เฮอร์มันเซ่น
กองหลัง: เจมส์ จัสติน, เวาต์ ฟาส, คาเล็บ โอโคลี่, วิคตอร์ คริสเตียนเซ่น
กองกลาง: วิลเฟร็ด เอ็นดิดี้, บูบาการี่ ซูมาเร่
แนวรุก: บ็อบบี้ ดีคอร์โดวา-รีด, บิลาล เอล คานนุสส์, จอร์แดน อายิว
กองหน้า: เจมี่ วาร์ดี้

อาร์เซน่อล (4-3-3)
ผู้รักษาประตู: ดาบิด ราย่า
กองหลัง: ยูร์เรียน ทิมเบอร์, วิลเลี่ยม ซาลิบา, กาเบรียล มากัลเญส, ไมลส์ ลูอิส-สเคลลี่
กองกลาง: มาร์ติน โอเดการ์ด, โธมัส ปาร์เตย์, เดแคลน ไรซ์
แนวรุก: อีธาน วาเนรี่, เลอันโดร ทรอสซาร์, ราฮีม สเตอร์ลิง

ห้ามพลาด!