Home Blog Page 2

“สัญญาณเตือนวิกฤตในทีม” ภาษากายลิเวอร์พูลหลังฟอร์มตก

0

ลิเวอร์พูลที่ครั้งหนึ่งเคยถูกยกย่องให้เป็นทีมที่มีจิตใจแข็งแกร่งที่สุดยุคเยอร์เก้น คล็อปป์—ถึงขั้นถูกเรียกว่า mentality monsters—กำลังเผชิญคำถามใหญ่เกี่ยวกับความมั่นใจและสภาพจิตใจในทีม หลังแพ้ทุกครั้งที่ถูกยิงนำก่อนติดต่อกันถึง 6 นัด และภาษากายของผู้เล่นเริ่มถูกตั้งข้อสังเกตมากขึ้นกว่าเดิม

แม้ภาษากายจะไม่ได้เป็นตัวตัดสินผลการแข่งขันโดยตรง แต่สำหรับทีมที่เคยมีพลังเชิงบวกและคาแรกเตอร์อันดุดันมานาน ภาพของการก้มหน้า ถอนหายใจ หรือแสดงอารมณ์หงุดหงิดออกมาต่อหน้ากล้องทำให้แฟนบอลกังวลว่าอะไรบางอย่างกำลังผิดปกติ

◼️ นักจิตวิทยาชี้: ฟอร์มตก → ภาษากายแผ่ว ไม่ใช่สาเหตุ แต่เป็น “อาการ”

ศาสตราจารย์เจียร์ จอร์เดต ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาการกีฬาอธิบายว่า สิ่งที่เห็นตอนนี้คือผลลัพธ์ของความผิดหวังสะสมเมื่อฟอร์มการเล่นไม่เป็นใจ ไม่ใช่ต้นเหตุของความพ่ายแพ้ แต่ปัญหาจริงคือ พลังทีมเวิร์กที่ลดลง และการแสดงออกเชิงลบต่อกันในสนาม

“ถ้านักเตะเห็นเพื่อนร่วมทีมแสดงความหงุดหงิดซ้ำๆ ระหว่างเกม มันทำให้บรรยากาศโดยรวมแผ่วลงทันที” จอร์เดตระบุ

อีกหนึ่งปัจจัยคือจังหวะเข้าปะทะที่ไม่เด็ดขาดเหมือนเดิมอย่างเกมแพ้แมนฯ ซิตี้ เจมี คาร์ราเกอร์ชี้ว่าหงส์แดงเปิดพื้นที่ง่ายเกินไปและปล่อยให้คู่แข่งต่อบอลจากมุมธงแบบไม่มีแรงกดดัน พร้อมพลาดจังหวะสกัดสำคัญถึง 6 ครั้ง จอร์เดตมองว่านี่คือปัญหา “การสื่อสารและความร่วมมือ” ไม่ใช่ความสามารถรายบุคคล

◼️ วิเคราะห์รายบุคคล: หน้าตา–ท่าทาง ส่งสัญญาณชัดว่าความมั่นใจลดลง

โมฮาเหม็ด ซาลาห์ – ความกดดันสะสม

จากเดิมที่แม้ยิงพลาดก็ยังมีรอยยิ้ม ตอนนี้ซาลาห์มีสีหน้าตึงและแสดงอาการกัดริมฝีปากล่างเวลาผิดหวัง ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษากาย อินบาอัล ฮอนิกแมนอธิบายว่า นี่เป็นสัญญาณของการพยายามควบคุมความกดดันภายในตัวเอง ไม่ใช่การตำหนิใคร

เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค – อารมณ์สะท้อนความตึงเครียดของทีม

กัปตันหงส์แดงทุบต้นขา เงยหน้ามองฟ้าเมื่อเสียบอลหรือตัดเกมไม่สำเร็จ การแสดงออกเหล่านี้ จอร์เดตเตือนว่า “ยิ่งทำให้เพื่อนร่วมทีมรู้สึกหนักอึ้งตามไปด้วย”

อิบราฮิมา โกนาเต้ – พยายามเก็บอารมณ์แต่ยากจะซ่อน

โกนาเต้ส่ายหัว หายใจแรง และทิ้งตัวลงบนม้านั่งสำรองหลังถูกเปลี่ยนตัว ภาพนี้บอกชัดว่าเขากำลังต่อสู้กับความผิดหวังของตัวเองมากกว่า

อาร์เน่อ ชล็อต – ความเครียดของกุนซือที่พยายามเก็บไว้ไม่ให้หลุดออกมา

ชล็อตถูกจับภาพขณะใช้มือปิดปากหรือบีบสันจมูกอยู่บ่อยครั้ง ผู้เชี่ยวชาญมองว่านี่เป็นสัญญาณของการ “เก็บความคิดและความไม่พอใจไว้” เพื่อไม่ให้แสดงออกมากเกินไปในช่วงที่ฟอร์มทีมกำลังดิ่งลง

◼️ สรุปภาพรวม: ภาษากายสะท้อนความมั่นใจที่หดหาย

จอร์เดตปิดท้ายว่า ภาษากายของทีมที่กำลังมั่นใจคือการยืดอก เงยหน้า สื่อสารกันตลอดเวลา แต่ลิเวอร์พูลตอนนี้แสดงอาการคล้ายกันคือ “การห่อตัว มองต่ำ และเลี่ยงการสบตา” ซึ่งเป็นสัญญาณในชัดเจนว่าความเชื่อมั่นในทีมลดลงอย่างมาก

ลิเวอร์พูลอาจยังมีคุณภาพเชิงฟุตบอลที่ดีอยู่ แต่สัญญาณความเปราะบางทางจิตใจที่เห็นในช่วงนี้ กำลังกลายเป็นปัญหาที่อาจส่งผลต่อเส้นทางของสโมสรในระยะยาวหากไม่รีบแก้ไข

4 ปัญหาใหญ่ฉุดฟอร์มสเปอร์ส ดิ่งหนักหลังพ่ายอาร์เซน่อล

0

ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์กำลังเผชิญช่วงเวลายากลำบากสุดในรอบหลายปี หลังจากถูกคู่ปรับตลอดกาลอย่างอาร์เซน่อลบุกถล่มถึงถิ่น 4-1 จนสร้างคำถามสำคัญว่า “เกิดอะไรขึ้นกับไก่เดือยทองกันแน่?” เพราะใน 5 เกมพรีเมียร์ลีกล่าสุด พวกเขาเก็บมาได้เพียง 4 คะแนนเท่านั้น — สถานการณ์ที่ทำให้โธมัส แฟรงค์ต้องเร่งแก้ไขแบบเร่งด่วน

1) แผน 5-4-1 ที่ไม่เวิร์กกับสเปอร์ส

ประเด็นที่ถูกวิจารณ์หนักที่สุดคือการเริ่มเกมด้วยกองหลัง 5 คน แต่กลับเสียถึง 4 ประตู แผนของแฟรงค์ถูกออกแบบเพื่อกดดันอาร์เซน่อลและเน้นความรัดกุม ซึ่งเป็นระบบที่เคยใช้ได้ผลสมัยคุมเบรนท์ฟอร์ด และเคยล้มทั้งลิเวอร์พูล แมนฯ ซิตี้ และเชลซีมาแล้ว

อย่างไรก็ตาม การนำเงื่อนไขแบบ “รถบัสเต็มรูปแบบ” มาใช้กับสเปอร์สถือว่าเสี่ยงมาก เพราะแฟนไก่คาดหวังฟุตบอลเชิงรุกที่ดุดันมากกว่าเกมตั้งรับลึก

จริงอยู่ว่าแผนนี้เคยทำงานได้ดีในเกมคว้าถ้วยยูฟ่า ซูเปอร์คัพ และแมตช์ชนะแมนฯ ซิตี้ 2-0 แต่หัวใจสำคัญคือต้องยิงขึ้นนำก่อน เมื่ออาร์เซน่อลเป็นฝ่ายยิงนำ แผนทั้งหมดก็พังทันที สเปอร์สต้องปรับจากรับเป็นรุกแบบไร้การเตรียมตัว

หลังเกม แฟรงค์ยอมรับว่า
“เรามาที่นี่เพื่อเล่นเกมรุก… แต่เราเข้าถึงพื้นที่ของพวกเขาไม่ได้เลย สุดท้ายก็ต้องถอยลงไปต่ำเกินไป”

แม้ถูกถามย้ำหลายครั้งว่าแผน 5-4-1 คือปัญหาหรือไม่ เขายืนยันว่า “ระบบนี้เล่นเกมรุกได้” เพียงแต่ทีมยังทำไม่ได้

2) เกมรุกทื่อแบบน่าใจหาย — xG ต่ำสุดในพรีเมียร์ลีก

นี่คือเกมลีกนัดที่สามติดต่อกันที่สเปอร์สดูขาดไอเดียโดยสิ้นเชิง

  • เกมแพ้เชลซี 0-1 → xG แค่ 0.05
  • เกมพ่ายอาร์เซน่อล → xG 0.07

ทั้งสองตัวเลข ต่ำที่สุดในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้

การวาง เจา ปาลินญ่า และ โรดริโก้ เบนตันกูร์ ยืนหน้ากองหลัง 3 คนทำให้แดนกลางแน่นแต่ไร้ความสร้างสรรค์ เพราะไม่มีตัวลำเลียงบอลขึ้นหน้า ส่งผลให้สเปอร์สไม่มีโอกาสยิงในครึ่งแรกแม้แต่ครั้งเดียว

เกมรุกที่ควรจะเป็น “จุดขาย” ของสโมสร กลับกลายเป็นภาระหนักที่ทำให้ทีมดูไร้ทิศทาง

3) ตัวเจ็บเพียบ—สามกำลังหลักหาย ส่งผลต่อทีมชัดเจน

การไร้ เจมส์ แมดดิสัน, เดยัน คูลูเซฟสกี้ และโดมินิค โซลันกี้ ส่งผลต่อรูปเกมอย่างชัดเจน

  • โซลันกี้ คือกองหน้าที่เชื่อมเกมและหาพื้นที่ได้ดี
  • แมดดิสัน – คูลูเซฟสกี้ เป็นผู้เล่นสร้างสรรค์เกมที่ทีมขาดไม่ได้

โดยเฉพาะแมดดิสันที่ส่อพักยาวทั้งฤดูกาลจากอาการ ACL ขาด ทำให้ คูดุส ต้องทำเกมรุกอยู่คนเดียว ขณะที่ วิลสัน โอโดแบร์ต ยังต้องใช้เวลาในการปรับตัวอีกมาก

4) เสริมทัพพลาด–ขุมกำลังไม่ลึกพอ

เป้าหมายหลักอย่าง เอเบเรชี่ เอเซ่ และ มอร์แกน กิ๊บส์-ไวท์ ถูกพลาดไปทั้งหมด ก่อนจะลงเอยด้วยการดึงชาบี ซิมอนส์เข้ามาแทน การไม่เดินหน้าปิดดีลอย่างจริงจังภายใต้ยุคของแดเนียล เลวี่ ถูกมองว่าเป็นต้นเหตุ

ส่วนมาธิส แตล ถูกซื้อขาดที่ 35 ล้านปอนด์ ทั้งที่ผลงานสมัยยืมตัวไม่เข้าเกณฑ์ แถมยังถูกตัดชื่อจากทีมลุย UCL ขณะที่ โคตะ ทากาอิ เจ็บยาวจนยังไม่ได้ลงเล่นแม้แต่นาทีเดียว

เมื่อไม่มีตัวสำรองที่คุณภาพใกล้เคียงตัวจริง ทีมก็ล้มทันทีเมื่อตัวหลักบาดเจ็บ

ภาพรวม: วิกฤตสะสมจากทุกด้าน

ความพ่ายแพ้ต่ออาร์เซน่อลเป็นเพียง “ภาพสะท้อนสุดท้าย” ของปัญหาที่ก่อตัวมาตลอด

  • แท็กติกตั้งรับที่ไม่เข้ากับทีม
  • เกมรุกไร้จินตนาการ
  • ผู้เล่นตัวหลักเจ็บพร้อมกันหลายราย
  • การเสริมทัพที่ไม่ตอบโจทย์

โธมัส แฟรงค์กำลังเผชิญแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นทุกวัน และสเปอร์สต้องตอบคำถามสำคัญว่า จะฟื้นตัวทันก่อนฤดูกาลพังยับหรือไม่

อโมริมรับแมนยูเล่นผิดฟอร์ม สมควรพ่ายเอฟเวอร์ตัน

0

รูเบน อโมริม ผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ออกมายอมรับแบบตรงไปตรงมาว่า ทีมของเขาโชว์ฟอร์มได้ย่ำแย่และสมควรเป็นฝ่ายปราชัย หลังพ่ายคาบ้านให้กับเอฟเวอร์ตันที่เหลือผู้เล่นเพียง 10 คน พร้อมย้ำว่า “ปีศาจแดง” ควรคว้าชัยในสถานการณ์ที่ได้เปรียบเช่นนี้ แต่กลับทำไม่ได้

แมนฯ ยูไนเต็ด เปิดรังโอลด์ แทรฟฟอร์ดแพ้ให้ “ท็อฟฟี่สีน้ำเงิน” 0-1 จากประตูชัยของ เคียร์แนน ดูว์สบิวรี่-ฮอลล์ ทำให้เอฟเวอร์ตันที่เหลือ 10 คนตั้งแต่นาทีที่ 13 หลัง อิดริสซ่า กาน่า เกย์ ถูกใบแดงจากเหตุปะทะกับ ไมเคิล คีน กลับออกมาคว้าชัยในโรงละครแห่งความฝันได้เป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปี นับตั้งแต่ปี 2013

ผลที่เกิดขึ้นทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด มี 18 คะแนนเท่าเดิม และหล่นลงมาอันดับ 10 ส่วนเอฟเวอร์ตันขยับขึ้นมาอันดับ 11 ด้วยแต้มเท่ากัน แต่ลูกได้เสียเป็นรองปีศาจแดงเล็กน้อย

อโมริมกล่าวหลังเกมด้วยความผิดหวังว่า
“รูปแบบการเริ่มเกม และการตอบสนองเมื่อคู่แข่งเหลือผู้เล่น 10 คน — เราไม่เข้าใจสถานการณ์เลย เอฟเวอร์ตันสมควรเป็นผู้ชนะ”
“คุณภาพในพื้นที่สุดท้ายก็ไม่ดี ความเข้าใจเกมไม่ดี และเมื่อเราไม่มีความเข้มข้นระดับสูง เราก็ชนะไม่ได้”

กุนซือชาวโปรตุกีสยังเสริมว่าผิดหวังเป็นพิเศษเพราะเป็นเกมในบ้าน
“ผมหงุดหงิดมากกับวิธีที่เราลงเล่นต่อหน้าแฟนบอลของเราเอง และเมื่อมองผลทีมอื่นในสุดสัปดาห์นี้ เราควรจะคว้าโอกาส แต่เรากลับไม่พร้อมตั้งแต่นาทีแรก”

อโมริมยอมรับว่ายังห่างไกลจากสิ่งที่ต้องการ
“เราไม่ได้อยู่ในระดับที่ควรจะสู้เพื่อตำแหน่งที่ดีที่สุด เรายังต้องทำงานอีกมาก เราต้องสมบูรณ์แบบกว่านี้ ซึ่งวันนี้เราไม่เข้าใกล้เลยด้วยซ้ำ”

ท้ายที่สุด เขายังยอมรับว่ากังวลว่าทีมอาจย้อนกลับไปสู่สภาพเดียวกับฤดูกาลก่อน
“ทุกคนพูดถึงพัฒนาการในช่วง 5 สัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ผมพูดเสมอว่า เรายังห่างไกลจากเป้าหมายมาก ผมกลัวทีมจะกลับไปสภาพเดิมเหมือนซีซั่นก่อน นักเตะพยายาม แต่เราต้องพัฒนาอีกเยอะ”

อาร์เน่อรับแท็กติกพลาด เกมพังคาบ้านหลังโดนฟอเรสต์ถล่ม 0-3

0

อาร์เน่อ สล็อต ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล ออกมายอมรับแบบตรงไปตรงมาว่า การปรับแท็กติกในเกมล่าสุดไม่ได้ผลตามที่คาดหวัง พร้อมประกาศรับผิดชอบเต็ม ๆ หลังทีมพ่ายคาบ้านต่อ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ แบบหมดรูป 0-3 ในศึกพรีเมียร์ลีกเมื่อคืนที่ผ่านมา

ความพ่ายแพ้ในแอนฟิลด์ครั้งนี้ ทำให้ลิเวอร์พูลมีเพียง 18 คะแนนเท่าเดิม ร่วงลงไปอยู่อันดับ 11 และยังทำสถิติไม่น่าจดจำด้วยการแพ้ในลีก 6 จาก 7 นัดหลังสุด อีกทั้งยังเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 60 ปีที่ “หงส์แดง” แพ้ในเกมลีกติดต่อกันด้วยผลต่าง 3 ประตูขึ้นไป นับตั้งแต่ยุคของ บิล แชงคลีย์ ในปี 1965

กุนซือชาวดัตช์เปิดใจหลังเกมว่า
“มันอธิบายยากมากว่ามันแย่แค่ไหน แต่แน่นอนว่านี่เป็นฟอร์มที่ย่ำแย่ การแพ้ 3-0 ในบ้านต่อให้เป็นทีมไหนก็รับไม่ได้ โดยเฉพาะหลังจากที่เราออกสตาร์ตได้ดีมากในช่วงครึ่งชั่วโมงแรก ซึ่งเป็นช่วงที่เราทำเกมได้มากที่สุดในฤดูกาลนี้ด้วยซ้ำ”

สล็อตเผยว่าการจัดทีมในเกมนี้มีปัญหาจากอาการบาดเจ็บหลายตำแหน่ง
“เราต้องเริ่มด้วยการดันกองกลางไปยืนเป็นฟูลแบ็กเพราะนักเตะเจ็บ โจ โกเมซ ก็เล่นได้ แต่เขาไม่ได้ซ้อมตลอดสัปดาห์ ร่างกายเลยไม่พร้อมเต็มร้อย หลังจากเปลี่ยนโคนาเต้ออก เรายังต้องปรับมาใช้กองกลางสองคนในแนวรับ แต่เมื่อเราเริ่มตามหลัง เราต้องเสี่ยงและปรับมาเล่น 3-3-4 เพื่อหวังประตู”

เขายอมรับว่าการเปลี่ยนแท็กติกนั้นไม่เป็นไปตามแผน
“หลังเปลี่ยนตัวแรก เราสร้างโอกาสได้ไม่มากพอ พอเราต้องเสี่ยง ทุกอย่างก็ยิ่งยากขึ้น และก่อนจะตั้งเกมใหม่ได้ เรากลับมาเสียประตูที่สามทันที”

ในส่วนของจังหวะประตูแรก สล็อตบอกว่าไม่มีอะไรต้องโต้แย้ง
“ผมได้ยินว่าคู่แข่งไม่ล้ำหน้า ถ้าเป็นแบบนั้นก็ชัดเจน ไม่มีอะไรต้องเถียง”

อย่างไรก็ตาม ผู้จัดการทีมหงส์แดงยืนยันว่าเขาคือคนที่ต้องรับผิดชอบ
“ผลแพ้หรือชนะเป็นหน้าที่ของผม นักเตะทุกคนทุ่มเต็มที่ แต่ช่วงหลังเราเปลี่ยนโอกาสเป็นประตูไม่ได้ และนั่นไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นไปตลอดทั้งปี เราต้องหาวิธีแก้ไข”

“ตอนนี้เราอยู่ในช่วงเวลายากลำบาก แต่ทีมนี้มีคุณภาพพอที่จะแก้สถานการณ์ได้ ผมต้องรับผิดชอบต่อผลงานที่ไม่ดีพอ เราไม่อาจหาเหตุผลมาปกปิดได้เลย”

หงส์แดงเตรียมเข้าสู่โปรแกรมหนักต่อเนื่อง โดยต้องเร่งหาจุดเปลี่ยนเพื่อกู้ความมั่นใจกลับมาให้เร็วที่สุด หลังสถานการณ์ในลีกเริ่มกดดันมากขึ้นทุกสัปดาห์ หากต้องการพาดหัวข่าวเพิ่มเติมหรือเวอร์ชันย่อ–ยาว แจ้งได้เลย!

คูราเซาเขียนประวัติศาสตร์เข้าบอลโลกครั้งแรก!

0

คูราเซา (Curaçao) กลายเป็นหนึ่งในเรื่องราวที่งดงามที่สุดของฟุตบอลโลก 2026 เมื่อชาติหมู่เกาะเล็กในทะเลแคริบเบียน ที่มีประชากรเพียง กว่า 1.5 แสนคน ก้าวเข้าสู่รอบสุดท้ายของเวิลด์คัพได้สำเร็จ พร้อมสร้างประวัติศาสตร์เป็นประเทศที่มีประชากรน้อยที่สุดที่ผ่านเข้ารอบฟุตบอลโลก

เส้นทางสู่ความสำเร็จครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน แต่เริ่มจากความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในปี 2010 เมื่ออาณาจักรเนเธอร์แลนด์แอนทิลลีสถูกยุบ ทำให้คูราเซากลายเป็นหนึ่งในประเทศองค์ประกอบของราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ และต้องเริ่มต้นฟุตบอลทีมชาติใหม่ทั้งหมด ตั้งแต่ศูนย์ ไปจนถึงการจัดอันดับโลกที่ อันดับ 151 ในปีแรกที่ถือกำเนิด

ทว่า สำหรับชาวคูราเซา ฟุตบอลไม่ใช่เพียงกีฬา แต่คือสัญลักษณ์ของการรวมตัวเป็นหนึ่งเดียวภายใต้ธงชาติของตัวเอง “คลื่นสีฟ้า” (The Blue Wave) ฉายาที่ได้รับแรงบันดาลใจจากทะเลสีฟ้าครามรอบเกาะ กลายเป็นวิญญาณที่ขับเคลื่อนทีมชุดนี้ให้เดินหน้าอย่างไม่หวั่นไหว

แม้จะขาดแคลนงบประมาณ ขาดลีกอาชีพที่แข็งแรง และโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย แต่คูราเซามีสิ่งที่ชาติเล็กอื่นไม่มี นั่นคือ กลยุทธ์การดึงดูดแข้งเชื้อสายดัตช์จากทั่วโลก หรือ Diaspora Strategy ที่ทำอย่างเป็นระบบระหว่างรัฐบาลและสมาคมฟุตบอล

ผู้เล่นส่วนใหญ่เกิดและเติบโตในเนเธอร์แลนด์ ผ่านโรงเรียนฟุตบอลระดับสูง เช่น อาแจ็กซ์ และเฟเยนูร์ด แต่โอกาสติดทีมชาติฮอลแลนด์มีจำกัด ทำให้แข้งเลือดผสมเหล่านี้เลือกตอบรับทีมบรรพบุรุษของตนเอง

แกนหลักของทีมประกอบด้วย

  • ทาฮิธ ชอง (เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด)
  • โจชัว เบรเน็ต (ลิฟวิงสตัน)
  • อาร์ยานี่ มาร์ธา (ร็อทเธอร์แฮม)
  • ซนท์เย่ แฮนเซ่น (มิดเดิลสโบรห์)

ทั้งหมดคือผลผลิตจากระบบฟุตบอลดัตช์ที่แข็งแกร่ง และรวมตัวกันภายใต้สีเสื้อฟ้าของคูราเซา

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อสมาคมฯ เลือกแต่งตั้ง ดิ๊ก แอดโวคาต กุนซือจอมเก๋าวัย 78 ปี มาคุมทัพ เขามีความรู้ลึกซึ้งเกี่ยวกับฟุตบอลดัตช์ และสื่อสารกับนักเตะได้อย่างเป็นกันเอง ช่วยปรับวินัย ระบบการซ้อม และมาตรฐานทีมให้ใกล้เคียงระดับยุโรป

ก่อนยุคแอดโวคาต ทีมเคยเจอวิกฤตครั้งใหญ่จากปัญหาค้างจ่ายโบนัส แต่องค์กรบริหารร่วมกันแก้ไขอย่างโปร่งใส สร้างความเชื่อมั่นใหม่ให้ผู้เล่นชุดปัจจุบันทุ่มเทกับเกมเต็มที่โดยไร้กังวลเรื่องนอกสนาม

ด้วยผลงานครั้งนี้ คูราเซาไม่เพียงแค่เขียนประวัติศาสตร์ใหม่ แต่ยังตอกย้ำว่า
ความยิ่งใหญ่ไม่ได้วัดจากพื้นที่บนแผนที่ แต่เกิดจากหัวใจ ความมุ่งมั่น และการจัดการที่มองไกล

และ “คลื่นสีฟ้า” ลูกนี้ กำลังจะถาโถมสู่เวทีฟุตบอลโลก 2026 อย่างสง่างาม.

แรงไม่หยุด! ฮาร์กรีฟส์เทียบเอ็มเบอโม่กับซาล่าห์หลังโชว์ฟอร์ม

0

โอเว่น ฮาร์กรีฟส์ อดีตมิดฟิลด์ทีมชาติอังกฤษ ออกโรงยกย่อง ไบรอัน เอ็มเบอโม่ แนวรุกของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พร้อมชี้ว่าฟอร์มการเล่นและสไตล์ในพื้นที่สุดท้าย มีความคล้ายคลึงกับ โมฮาเหม็ด ซาล่าห์ ซูเปอร์สตาร์ของลิเวอร์พูลอย่างมาก

แมนฯ ยูไนเต็ด คว้าตัวเอ็มเบอโม่มาจากเบรนท์ฟอร์ดเมื่อซัมเมอร์ที่ผ่านมา ด้วยค่าตัว 65 ล้านปอนด์ หลังจากดาวเตะทีมชาติแคเมอรูนสร้างชื่อด้วยผลงาน 20 ประตูในซีซั่นสุดท้ายกับ “เดอะ บีส์” และยังคงรักษาฟอร์มร้อนแรงต่อเนื่องในปีนี้ ยิงไปแล้ว 5 ลูก พาทีมของ รูเบน อาโมริม กลับมามีลุ้นพื้นที่ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก อีกครั้ง

ผลงานโดดเด่นของเจ้าตัวทำให้ เวย์น รูนี่ย์ ถึงกับออกมายกให้เป็น “ผู้เล่นที่ดีที่สุดของแมนฯ ยูไนเต็ด ในฤดูกาลนี้” และล่าสุด ฮาร์กรีฟส์ก็เป็นอีกหนึ่งเสียงที่แสดงความประทับใจในแข้งวัย 26 ปีรายนี้

ฮาร์กรีฟส์กล่าวว่า
“จุดแข็งของเอ็มเบอโม่คือคุณภาพในพื้นที่สุดท้าย เขาทำให้ผมนึกถึงโมฮาเหม็ด ซาล่าห์ ทั้งในกรอบเขตโทษและพื้นที่รอบ ๆ มันชัดเจนว่าเขารู้ว่าจะทำอะไรเมื่อได้บอล ไม่ว่าจะยิงเสาแรกหรือเสาไกล เขานิ่งและมั่นใจอย่างมาก”

อดีตสตาร์ผีแดงยังเสริมว่า
“คนพูดถึงเรื่องประตูของเขาเยอะก็จริง แต่สิ่งที่ผมเห็นคือเขาเป็นนักฟุตบอลที่สมบูรณ์แบบ ย้ายมาแมนฯ ยูไนเต็ดไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะเมื่อมีสตาร์ดังมากมายในทีม แต่เอ็มเบอโม่กลับรับมือกับแรงกดดันได้ดีเกินคาด”

โดยสถานการณ์ล่าสุด แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มี 18 คะแนน อยู่ในอันดับ 7 ของตาราง และเตรียมเปิดบ้านโอลด์ แทรฟฟอร์ดรับมือ เอฟเวอร์ตัน ในเกมพรีเมียร์ลีกคืนวันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายนนี้.

ศึกชี้ชะตาจ่าฝูง! อาร์เซน่อลปะทะสเปอร์ส โปรแกรมครบ 10 คู่

0

ศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2025/26 เดินหน้าเข้าสู่โปรแกรมนัดที่ 12 โดยกลับมาลงสนามเต็มรูปแบบหลังพักเบรกทีมชาติช่วงฟีฟ่าเดย์ ซึ่งสัปดาห์นี้เตะครบทั้ง 10 คู่ ระหว่างวันที่ 22–27 พฤศจิกายน พร้อมไฮไลท์บิ๊กแมตช์ “นอร์ธ ลอนดอน ดาร์บี้” ที่แฟนบอลทั่วโลกจับตามอง

จ่าฝูงอย่าง อาร์เซน่อล เตรียมเปิดบ้านเอมิเรตส์ สเตเดียม รับมือคู่ปรับร่วมเมือง ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ ทีมอันดับ 5 ของตาราง ขณะที่แชมป์เก่า ลิเวอร์พูล มีคิวเปิดแอนฟิลด์ดวล น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ส่วน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะปิดท้ายสัปดาห์ด้วยการเฝ้าโอลด์ แทรฟฟอร์ด พบ เอฟเวอร์ตัน

ด้านล่างคือโปรแกรมแข่งขันพรีเมียร์ลีกนัดที่ 12 พร้อมช่องถ่ายทอดสดอย่างละเอียด


โปรแกรมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ นัดที่ 12

วันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน 2025

19.30 น. เบิร์นลีย์ พบ เชลซี

22.00 น. บอร์นมัธ พบ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด

22.00 น. ไบรท์ตัน พบ เบรนท์ฟอร์ด

22.00 น. ฟูแล่ม พบ ซันเดอร์แลนด์

22.00 น. ลิเวอร์พูล พบ ฟอเรสต์

22.00 น. วูล์ฟแฮมป์ตัน พบ คริสตัล พาเลซ

00.30 น. นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด พบ แมนเชสเตอร์ ซิตี้


วันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน 2025

21.00 น. ลีดส์ ยูไนเต็ด พบ แอสตัน วิลล่า

23.30 น. อาร์เซน่อล พบ สเปอร์ส (เกมบิ๊กแมตช์ประจำสัปดาห์)


คืนวันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน 2025

03.00 น. แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พบ เอฟเวอร์ตัน

รายชื่อ 34 ชาติผ่านเข้ารอบบอลโลก 2026 อย่างเป็นทางการ

0

การแข่งขันฟุตบอลโลก 2026 ซึ่งจะจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในรูปแบบเจ้าภาพร่วมระหว่าง สหรัฐอเมริกา แคนาดา และเม็กซิโก เดินหน้าเข้าใกล้ความสมบูรณ์มากขึ้น หลังจากจำนวนทีมที่ผ่านเข้ารอบสุดท้ายเพิ่มเป็น 34 ชาติจากทั้งหมด 48 ทีม เป็นที่เรียบร้อย

ในเกมรอบคัดเลือกล่าสุด ทวีปยุโรปได้ส่งสองทีมยักษ์ใหญ่อย่าง เยอรมนี และ เนเธอร์แลนด์ การันตีตั๋วลุยรอบสุดท้ายเพิ่ม โดยอินทรีเหล็กผ่านเข้าสู่เวิลด์คัพเป็นครั้งที่ 21 ส่วนทัพกังหันลมคว้าสิทธิ์เข้าร่วมเป็นครั้งที่ 20 ต่อจากชาติที่เข้ารอบไปก่อนหน้าอย่าง อังกฤษ, ฝรั่งเศส, โครเอเชีย, โปรตุเกส และนอร์เวย์

จนถึงตอนนี้ ทัวร์นาเมนต์เวิลด์คัพฉบับขยายทีมเหลือเพียง 14 โควตาที่ต้องลุ้นกันต่อ ขณะที่รายชื่อชาติที่ยืนยันแล้วมีดังนี้:


รายชื่อ 34 ชาติที่ผ่านเข้ารอบฟุตบอลโลก 2026

โซนคอนคาเคฟ

  • เม็กซิโก
  • สหรัฐอเมริกา
  • แคนาดา
    (3 ชาติร่วมเป็นเจ้าภาพ)

โซนอเมริกาใต้

  • อาร์เจนตินา
  • บราซิล
  • โคลอมเบีย
  • เอกวาดอร์
  • ปารากวัย
  • อุรุกวัย

โซนโอเชียเนีย

  • นิวซีแลนด์

โซนเอเชีย

  • ญี่ปุ่น
  • อิหร่าน
  • เกาหลีใต้
  • อุซเบกิสถาน (เข้ารอบครั้งแรก)
  • จอร์แดน (เข้ารอบครั้งแรก)
  • ออสเตรเลีย
  • กาตาร์
  • ซาอุดีอาระเบีย

โซนแอฟริกา

  • โมร็อกโก
  • ตูนิเซีย
  • อียิปต์
  • แอลจีเรีย
  • กาน่า
  • เคปเวิร์ด (เข้ารอบครั้งแรก)
  • แอฟริกาใต้
  • ไอวอรีโคสต์
  • เซเนกัล

โซนยุโรป

  • อังกฤษ
  • ฝรั่งเศส
  • โครเอเชีย
  • โปรตุเกส
  • นอร์เวย์
  • เยอรมนี
  • เนเธอร์แลนด์

ยูโร 2028 ไร้เงาหงส์–สิงห์! ยูฟ่าแจงชัดสนามไม่ตรงมาตรฐาน

0

สหพันธ์ฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า) เปิดเผยเหตุผลอย่างเป็นทางการว่าทำไมสนามเหย้าของ ลิเวอร์พูล และ เชลซี รวมถึง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จึงไม่ได้รับเลือกเป็นหนึ่งในสังเวียนจัดการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2028 โดยประเด็นหลักอยู่ที่ข้อจำกัดด้านมาตรฐานสนามและความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน

หลังยูฟ่าออกประกาศรายชื่อสนามเจ้าภาพทัวร์นาเมนต์ใหญ่ในปี 2028 พบว่า ปรินซิพาลิตี้ สเตเดี้ยม ในคาร์ดิฟฟ์ จะรับหน้าที่จัดพิธีเปิด ขณะที่สนามเวมบลีย์ กรุงลอนดอน ยังคงเป็นสังเวียนสำคัญสำหรับรอบรองชนะเลิศและรอบชิงชนะเลิศ ส่วนสนามในพรีเมียร์ลีกหลายแห่ง เช่น ฮิลล์ ดิคกินสัน (เอฟเวอร์ตัน), วิลล่า พาร์ค (แอสตัน วิลล่า), ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ สเตเดี้ยม, เซนต์ เจมส์ พาร์ค และ เอติฮัด สเตเดี้ยม ต่างผ่านการคัดเลือกครบถ้วน

อย่างไรก็ตาม แอนฟิลด์, สแตมฟอร์ด บริดจ์ และโอลด์ แทรฟฟอร์ด ต่างถูกตัดชื่อออกทั้งหมด โดยมีเหตุผลดังนี้:

แอนฟิลด์ – ขนาดสนามไม่ตรงตามเกณฑ์ยูฟ่า

สนามเหย้าของลิเวอร์พูลมีความยาวของพื้นที่เล่นสั้นกว่ามาตรฐานที่ยูฟ่า ระบุไว้ (105 × 68 เมตร) อยู่ประมาณ 4 เมตร ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้สนามไม่สามารถผ่านการคัดเลือกได้ แม้สโมสรจะมีความพยายามแก้ไข แต่ติดข้อจำกัดด้านโครงสร้างและพื้นที่โดยรอบที่ทำให้ไม่สามารถขยายเพิ่มได้

สแตมฟอร์ด บริดจ์ – ขนาดสนามหญ้าสั้นกว่ากำหนด

สนามของเชลซีเผชิญปัญหาเดียวกัน โดยมีพื้นที่เล่นเพียง 103 × 67 เมตร ซึ่งต่ำกว่ามาตรฐานขั้นต่ำของยูฟ่า ส่งผลให้ถูกตัดสิทธิ์โดยอัตโนมัติ

โอลด์ แทรฟฟอร์ด – ความเก่าและความไม่พร้อมของโครงสร้าง

ในส่วนของโอลด์ แทรฟฟอร์ด แม้จะเป็นหนึ่งในสนามที่ใหญ่ที่สุดในอังกฤษ แต่ยูฟ่ามองว่าขาดการปรับปรุงครั้งใหญ่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้หลายโซนมีปัญหาเชิงโครงสร้าง ไม่สอดคล้องกับความต้องการด้านความปลอดภัยและมาตรฐานของทัวร์นาเมนต์ นอกจากนี้ ในปี 2023 สโมสรยังไม่สามารถให้ข้อมูลชัดเจนเกี่ยวกับแผนความพร้อมของสนาม ทำให้ถูกพิจารณาตัดออกในที่สุด

การคัดเลือกครั้งนี้สะท้อนถึงความเข้มงวดของยูฟ่าในการกำหนดมาตรฐานสังเวียนแข่งขัน รวมถึงความจำเป็นที่สโมสรต่าง ๆ ต้องเร่งพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกให้ทันยุคสมัย หากต้องการกลับมาเป็นเจ้าภาพทัวร์นาเมนต์ใหญ่ในอนาคต.

ยูไนเต็ดกำลังถอยหลัง! เอริค คันโตน่า โทษ “เซอร์ จิม”

0

เอริค คันโตน่า ตำนานหมายเลข 7 ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ออกโรงวิจารณ์อย่างดุเดือดถึงแนวทางการบริหารของ เซอร์ จิม แรตคลิฟฟ์ มหาเศรษฐีชาวอังกฤษและผู้ถือหุ้นรายใหม่ของสโมสร โดยมองว่าการเข้ามาของ INEOS กำลังทำให้ทีมสูญเสียเอกลักษณ์และเสน่ห์แบบ “ปีศาจแดง” ที่เคยมี

แรตคลิฟฟ์เข้าซื้อหุ้น 27.7% ของสโมสรเมื่อกุมภาพันธ์ 2024 พร้อมรับอำนาจบริหารด้านฟุตบอลจากตระกูลเกลเซอร์ ช่วงแรกแฟนบอลยังพอมองเห็นความหวัง หลังทีมผงาดคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ 2024 แต่หลังการปลด เอริก เทน ฮาก และการแต่งตั้ง รูเบน อาโมริม ผลงานกลับไม่เป็นไปตามเป้า จนเสียงวิจารณ์เริ่มหนาหูขึ้นเรื่อย ๆ

ล่าสุด ในงาน An Evening with Eric The King Cantona อดีตซูเปอร์สตาร์รายนี้เปิดใจแบบไม่มีกั๊ก เผยว่าเขาเคยตั้งใจจะเข้ามามีบทบาทช่วยสโมสรในช่วงเปลี่ยนผ่าน แต่กลับถูกเมินเฉยจากผู้บริหารชุดใหม่

คันโตน่ากล่าวว่า
“ผมมีโปรเจกต์มากมาย แต่คิดว่าซัก 2–3 ปี ผมพร้อมจะทิ้งทุกอย่างเพื่อช่วยสโมสรที่มอบทุกอย่างให้ผม แต่ดูเหมือนว่าเขา (แรตคลิฟฟ์) ไม่สนใจเลย ผมทำเต็มที่แล้วจึงไม่รู้สึกผิดอะไร”

เขายังวิจารณ์แนวทางฟุตบอลของทีมในยุคใหม่ว่าไม่สอดคล้องกับมรดกที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เคยสร้างเอาไว้
“เฟอร์กี้สร้างฟุตบอลเกมรุกที่งดงาม เจ้าของใหม่ควรสานต่อ แต่นี่กลับทำลายมัน”

คันโตน่ายังพูดถึงบรรยากาศในสนามโอลด์ แทรฟฟอร์ดว่าเปลี่ยนไปมาก
“ผมไปดูเกมเจอซิตี้เมื่อฤดูกาลที่แล้ว และมันเงียบมาก แฟนยูไนเต็ดยุคนี้อยากไปเกมเยือนมากกว่า เพราะได้อยู่กับแฟนบอลตัวจริง แทนที่จะเจอกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มาเพื่อช้อปปิ้งของที่ระลึกในสโมสร”

ตำนานรายนี้ยังเสริมว่าหากวันนี้เขาต้องเลือกสโมสรเชียร์ในฐานะแฟนบอล เขาอาจไม่เลือกแมนฯ ยูไนเต็ด
“ผมไม่รู้สึกเชื่อมโยงกับโปรเจกต์นี้เลย ตั้งแต่แรตคลิฟฟ์เข้ามา ทุกอย่างตรงข้ามกับสิ่งที่ควรเป็น พวกเขาไม่เคารพแฟนบอล ไม่เคารพผู้จัดการทีม ไม่เคารพใครทั้งนั้น ถึงขั้นอยากจะเปลี่ยนสนามด้วยซ้ำ”

คำให้สัมภาษณ์ของคันโตน่าถูกมองว่าเป็นอีกหนึ่งเสียงสะท้อนจากบุคลากรระดับตำนานที่ไม่พอใจแนวทางของผู้บริหารชุดใหม่ ท่ามกลางอนาคตอันไม่แน่นอนของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทั้งในสนามและนอกสนามในเวลานี้.

ห้ามพลาด!