Home Blog Page 26

“สล็อต” ลั่น! พร้อมนำลิเวอร์พูลซิวแชมป์คาราบาว

0

อาร์เน่ สล็อต กุนซือลิเวอร์พูล ยอมรับว่าเขากำลังตั้งตารอคอยเกมนัดชิงชนะเลิศ คาราบาว คัพ อย่างใจจดใจจ่อ โดยมีเป้าหมายพา “หงส์แดง” คว้าแชมป์แรกของฤดูกาลให้ได้ ในการเผชิญหน้ากับ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ที่สนามเวมบลีย์ วันอาทิตย์ที่ 16 มีนาคมนี้

เฮดโค้ชชาวดัตช์เผยว่า “นี่เป็นเกมที่ผมเฝ้ารออย่างมาก ไม่ใช่แค่เพราะเป็นนัดชิงชนะเลิศ หรือเพราะผมคุมทีมลิเวอร์พูล แต่นี่คือโอกาสพิเศษที่ได้ลงเล่นที่เวมบลีย์ สนามที่เป็นสัญลักษณ์ของฟุตบอลอังกฤษ ผมรู้สึกตื่นเต้นที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของแมตช์สำคัญนี้”

สล็อตยังกล่าวถึงความท้าทายที่รออยู่ว่า “เรากำลังมุ่งมั่นสำหรับเกมรอบชิงฯ หลังจากเพิ่งพ่ายให้กับปารีส แซงต์-แชร์กแมง ในแชมเปี้ยนส์ ลีก และการต้องเผชิญหน้ากับทีมคุณภาพอย่างนิวคาสเซิ่ล ซึ่งบริหารทีมได้ดีโดย เอ็ดดี้ ฮาว นั่นทำให้เกมนี้น่าตื่นเต้นยิ่งขึ้น”

นอกจากนี้ กุนซือวัย 45 ปี ยังยืนยันว่าทัพหงส์แดงจะทุ่มสุดตัวเพื่อลุ้นแชมป์ให้ได้ “ตอนนี้เรายังมีลุ้นแชมป์สองรายการ การได้เข้าชิงถือเป็นเรื่องดี และเราจะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อคว้าถ้วยใบนี้ให้ได้ ผมมองว่าทุกนัดที่เหลือในลีกก็เหมือนเป็นรอบชิงชนะเลิศเช่นกัน ดังนั้นเราต้องเล่นด้วยความมุ่งมั่นเต็มที่”

สำหรับ ศึกคาราบาว คัพ นัดชิงชนะเลิศ ลิเวอร์พูล จะดวลกับ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ในวันอาทิตย์ที่ 16 มีนาคมนี้ เวลา 23.30 น. ตามเวลาประเทศไทย แฟนบอลต้องติดตามว่าทัพหงส์แดงจะสามารถคว้าแชมป์แรกภายใต้การนำของสล็อตได้หรือไม่! 🔥⚽🏆

สรุปผล ยูโรป้า ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย พร้อมโปรแกรมรอบ 8 ทีม

0

ศึก ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก เดินทางมาถึงรอบก่อนรองชนะเลิศแล้ว โดยสองทีมจากพรีเมียร์ลีก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ ต่างพลิกสถานการณ์กลับมาเข้ารอบได้สำเร็จ “ปีศาจแดง” เปิดบ้านถล่ม เรอัล โซเซียดาด 4-1 รวมผลสองนัดเข้ารอบด้วยสกอร์ 5-2 ส่วน “ไก่เดือยทอง” ที่พลาดท่าพ่ายในเกมแรก 0-1 ก่อนกลับมาเอาชนะ อาแซด อัลค์มาร์ 3-1 ทำให้รวมผลสองนัดเฉือนเข้ารอบแบบหวุดหวิด 3-2

ด้าน โรม่า ต้องพบกับความผิดหวัง หลังถูก แอธเลติก บิลเบา พลิกกลับมาเอาชนะ ส่งทีมจากเซเรีย อา ตกรอบไปอย่างน่าเสียดาย


สรุปผลการแข่งขัน ยูโรป้า ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย (นัดที่ 2)

📅 คืนวันพฤหัสบดีที่ 13 มีนาคม 2025

แอธเลติก บิลเบา 3-1 โรม่า
(รวมผลสองนัด บิลเบา เข้ารอบด้วยสกอร์รวม 4-3)

แฟร้งค์เฟิร์ต 4-1 อาแจ็กซ์
(รวมผลสองนัด แฟร้งค์เฟิร์ต เข้ารอบด้วยสกอร์รวม 5-2)

โอลิมเปียกอส 2-1 โบโด กลิมท์
(รวมผลสองนัด โบโด กลิมท์ เข้ารอบด้วยสกอร์รวม 4-2)

ลาซิโอ 1-1 วิคตอเรีย พิลเซ่น
(รวมผลสองนัด ลาซิโอ เข้ารอบด้วยสกอร์รวม 3-2)

สเปอร์ส 3-1 อาแซด อัลค์มาร์
(รวมผลสองนัด สเปอร์ส เข้ารอบด้วยสกอร์รวม 3-2)

เรนเจอร์ส 0-2 เฟเนร์บาห์เช่
(รวมผลสองนัด เสมอ 3-3 ต้องต่อเวลาพิเศษ ก่อนเรนเจอร์สชนะจุดโทษ 3-2)

โอลิมปิก ลียง 4-0 สเตอัว บูคาเรสต์
(รวมผลสองนัด ลียง เข้ารอบด้วยสกอร์รวม 7-1)

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 4-1 เรอัล โซเซียดาด
(รวมผลสองนัด แมนฯ ยูไนเต็ด เข้ารอบด้วยสกอร์รวม 5-2)


โปรแกรมรอบ 8 ทีมสุดท้าย

📅 นัดแรก: 10 เมษายน 2025
📅 นัดสอง: 17 เมษายน 2025

🔹 โบโด/กลิมท์ 🆚 ลาซิโอ
🔹 สเปอร์ส 🆚 แฟร้งค์เฟิร์ต
🔹 โอลิมปิก ลียง 🆚 แมนฯ ยูไนเต็ด
🔹 เรนเจอร์ส 🆚 แอธเลติก บิลเบา


โปรแกรมรอบรองชนะเลิศ

📅 นัดแรก: 1 พฤษภาคม 2025
📅 นัดสอง: 8 พฤษภาคม 2025

🏆 ผู้ชนะคู่ที่ 1 พบ ผู้ชนะคู่ที่ 2
🏆 ผู้ชนะคู่ที่ 3 พบ ผู้ชนะคู่ที่ 4


รอบชิงชนะเลิศ ยูโรป้า ลีก 2025

📅 ศึกชิงแชมป์จะมีขึ้นในวันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม 2025
📍 สนามซาน มาเมส, บิลเบา ประเทศสเปน

ทีมใดจะก้าวขึ้นไปคว้าแชมป์ยูโรป้า ลีก ฤดูกาลนี้ ต้องติดตามกันต่อ! 💥⚽🔥

แมนฯ ยูไนเต็ด ถล่ม เรอัล โซเซียดาด 4-1 “บรูโน่” กดแฮตทริก

0

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังคงเดินหน้าสร้างผลงานยอดเยี่ยมในศึก ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก หลังเปิดรังถล่ม เรอัล โซเซียดาด 4-1 แม้จะถูกขึ้นนำก่อน แต่ทัพ “ปีศาจแดง” แซงกลับมาได้ โดย บรูโน่ แฟร์นันด์ส ทำแฮตทริกสุดเฉียบ พาทีมผ่านเข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศได้สำเร็จ


เกมพลิก – บรูโน่ นำทัพปีศาจแดงลุยต่อ

ศึกยูโรป้า ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดที่สอง ที่สนาม โอลด์ แทรฟฟอร์ด “ปีศาจแดง” ภายใต้การคุมทีมของ รูเบน อโมริม จัดทัพส่งดาวรุ่งอย่าง เอย์เดน เฮฟเว่น ลงเล่นเป็นตัวจริง ส่วนแดนกลางมี แพทริค ดอร์กู ทำเกมร่วมกับ บรูโน่ แฟร์นันด์ส กัปตันทีม ขณะที่ ราสมุส ฮอยลุนด์ กลับมาประจำการแนวรุก เคียงข้าง โจชัว เซิร์กซี่ และ อเลฮานโดร การ์นาโช่

ด้าน เรอัล โซเซียดาด นำโดย อิมานอล อัลกวาซิล ส่งแนวรุกชุดเก่งลงสนาม ทั้ง เชไรโด เบ็คเกอร์, ทาเกะฟุสะ คุโบะ และ มิเกล โอยาร์ซาบัล

เกมเริ่มต้น – โซเซียดาดออกนำ แต่แมนยูไม่ยอมแพ้

เริ่มเกมมาเพียง 10 นาที ทีมเยือน เรอัล โซเซียดาด ได้เฮก่อน เมื่อ มิเกล โอยาร์ซาบัล สังหารจุดโทษให้ทีมขึ้นนำ 1-0 หลังจากที่ มัทไธส์ เดอ ลิกต์ ไปทำฟาวล์ในกรอบเขตโทษ

อย่างไรก็ตาม แมนฯ ยูไนเต็ด ใช้เวลาเพียง 5 นาทีในการตอบโต้กลับมาได้ประตูตีเสมอ 1-1 เมื่อ ราสมุส ฮอยลุนด์ ถูก อิกอร์ ซูเบลเดีย ทำฟาวล์ในกรอบเขตโทษ และเป็น บรูโน่ แฟร์นันด์ส รับหน้าที่สังหารไม่พลาด

จบครึ่งแรก ทั้งสองทีมเสมอกัน 1-1 ทำให้สกอร์รวมอยู่ที่ 2-2

ครึ่งหลัง – บรูโน่กดเพิ่มอีกสอง เซิร์กซี่, การ์นาโช่ ส่องช่วยปิดเกม

เข้าสู่ครึ่งหลัง นาทีที่ 50 แมนฯ ยูไนเต็ด ได้จุดโทษอีกครั้ง เมื่อ อาร์ติสต์ เอลุสตอนโด ยืนขวางทาง แพทริค ดอร์กู จน VAR เช็กและยืนยันว่าเป็นจุดโทษ บรูโน่ แฟร์นันด์ส รับหน้าที่สังหารเข้าไปให้เจ้าบ้านพลิกนำ 2-1

นาทีที่ 63 สถานการณ์ของทีมเยือนแย่ลงไปอีก เมื่อ ยอน อารัมบูรู กองหลังสำรองโดนใบแดงไล่ออก หลังทำฟาวล์ โจชัว เซิร์กซี่ ที่กำลังจะหลุดเดี่ยว

ช่วงท้ายเกม นาทีที่ 87 แมนฯ ยูไนเต็ด มาได้ประตูหนีห่างเป็น 3-1 จากจังหวะสวนกลับเร็ว อเลฮานโดร การ์นาโช่ จ่ายทะลุช่องให้ บรูโน่ แฟร์นันด์ส หลุดเข้าไปยิงแบบเฉียบขาด เป็นแฮตทริกของเจ้าตัวในเกมนี้

ช่วงทดเวลาบาดเจ็บ นาที 90+1 แมนฯ ยูไนเต็ด มาได้ประตูตอกฝาโลง ราสมุส ฮอยลุนด์ จ่ายย้อนให้ ดีโอโก้ ดาโล่ต์ ซัดเข้าไปเป็น 4-1

แมนยูเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย ไร้พ่ายในยูโรป้า

จบเกม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เปิดบ้านถล่ม เรอัล โซเซียดาด 4-1 รวมผลสองนัดชนะ 5-2 และยังคงรักษาสถิติ ไม่แพ้ใคร ในรายการนี้ พร้อมผ่านเข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศไปพบกับ โอลิมปิก ลียง


รายชื่อ 11 ผู้เล่นตัวจริง

แมนฯ ยูไนเต็ด (3-4-2-1) : อ็องเดร โอนาน่า – นูสแซร์ มาซราอุย, มัทไธส์ เดอ ลิกต์, เอย์เดน เฮฟเว่น – ดีโอโก้ ดาโล่ต์, คาเซมิโร่, บรูโน่ แฟร์นันด์ส, แพทริค ดอร์กู – อเลฮานโดร การ์นาโช่, โจชัว เซิร์กซี่ – ราสมุส ฮอยลุนด์

เรอัล โซเซียดาด (4-3-3) : อเล็กซ์ เรมิโร่ – อาร์ติสต์ เอลุสตอนโด, อิกอร์ ซูเบลเดีย, นาเยฟ อาเกิร์ด, ไอเอน มูนญอซ – มาร์ติน ซูบีเมนดี้, ปาโบล มาร์ติน, บราอีส เมนเดซ – เชไรโด เบ็คเกอร์, ทาเกะฟุสะ คุโบะ, มิเกล โอยาร์ซาบัล

“อองรี” ชูสตาร์บาร์ซ่าเหนือกว่า “ซาล่าห์” ตัวเต็งคว้าบัลลงดอร์

0

เธียร์รี อองรี อดีตดาวยิงระดับตำนาน ยกให้ ราฟินญ่า ปีกตัวเก่งของ บาร์เซโลน่า เป็นตัวเต็งอันดับหนึ่งในการคว้ารางวัล บัลลงดอร์ ในปีนี้ โดยมองว่าแข้งบราซิเลียนทำผลงานโดดเด่นกว่า โมฮาเหม็ด ซาล่าห์ ของลิเวอร์พูล แม้ดาวเตะอียิปต์จะมีสถิติการทำประตูที่ยอดเยี่ยมก็ตาม

ซาล่าห์ฟอร์มร้อนแรง แต่ราฟินญ่าเหนือกว่าในเวทียุโรป

ฤดูกาลนี้ ซาล่าห์ ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมกับ ลิเวอร์พูล โดยซัดไป 32 ประตู กับ 22 แอสซิสต์ ในทุกรายการ พาทีมขึ้นนำ พรีเมียร์ลีก ทิ้งห่างอันดับสอง อาร์เซน่อล ถึง 15 แต้ม ซึ่งทำให้เขาถูกจับตามองในฐานะหนึ่งในตัวเต็งรางวัล บัลลงดอร์

อย่างไรก็ตาม อองรี เชื่อว่า ราฟินญ่า มีภาษีดีกว่าในการคว้ารางวัลอันทรงเกียรตินี้ เนื่องจากดาวเตะชาวบราซิลทำไปแล้ว 27 ประตู และ 19 แอสซิสต์ ให้กับ บาร์เซโลน่า ฤดูกาลนี้ และยังเป็น ดาวซัลโวสูงสุดของยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก โดยซัดไป 11 ประตู ขณะที่ ซาล่าห์ ยิงได้เพียง 3 ประตู ในรายการนี้

อองรี ยังชี้ให้เห็นว่า จำนวนประตูของ ซาล่าห์ และ แฮร์รี่ เคน ได้รับอานิสงส์จากการยิงจุดโทษ ขณะที่ ราฟินญ่า ได้จุดโทษเพียงครั้งเดียวในซีซั่นนี้ ต่างจาก ซาล่าห์ ที่สังหารจุดโทษไปถึง 11 ประตู

อองรีชี้ – ราฟินญ่ามีครบทุกอย่างที่กองหน้าต้องการ

ในการให้สัมภาษณ์กับ CBS Sports อองรีกล่าวว่า

“ตอนนี้ในใจผมคือ ราฟินญ่า เพราะสิ่งที่เขาทำในแชมเปี้ยนส์ลีก”

“เขาทำไปแล้ว 11 ประตู ในรายการนี้ และมันสำคัญมาก เรามักจะมองว่าผู้เล่นคนไหนทำผลงานได้ดีที่สุดในแชมเปี้ยนส์ลีก นอกเหนือจากการคว้าแชมป์ลีก”

“โมฮาเหม็ด ซาล่าห์ และ แฮร์รี่ เคน ต่างก็เป็นตัวเต็ง เช่นเดียวกับ อุสมาน เดมเบเล่ แต่หากมีผู้เล่นคนหนึ่งทำประตูได้มากมายโดยไม่ต้องพึ่งจุดโทษ ผมคงต้องพูดถึงเขาให้มากขึ้น”

“ราฟินญ่า เป็นผู้เล่นที่ครบเครื่อง เขามีทุกอย่างที่กองหน้าต้องมี ไม่ว่าจะเป็นเกมรุก การกดดันเกมรับ หรือแม้แต่การช่วยฟูลแบ็ก เขาเป็นนักเตะที่สมบูรณ์แบบมาก”

ซาล่าห์ร่วง UCL แต่ราฟินญ่ายังนำบาร์ซาลุ้นแชมป์

แม้ว่า ซาล่าห์ จะโชว์ฟอร์มโดดเด่นในพรีเมียร์ลีก แต่ ลิเวอร์พูล ต้องจอดป้ายเพียงรอบ 16 ทีมสุดท้าย ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก หลังพ่าย เปแอสเช ในการดวลจุดโทษ 1-4 ซึ่งอาจส่งผลต่อโอกาสของเขาในการลุ้นรางวัล

ตรงกันข้าม ราฟินญ่า ยังคงเดินหน้าสร้างผลงานอันยอดเยี่ยมในเวทียุโรป โดยในรอบ 16 ทีมสุดท้าย เขายิง 2 ประตู ช่วยให้ บาร์เซโลน่า เอาชนะ เบนฟิก้า ด้วยสกอร์รวม 4-1 ผ่านเข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศได้สำเร็จ

จากฟอร์มที่โดดเด่นในรายการยุโรป ทำให้ ราฟินญ่า ก้าวขึ้นมาเป็นตัวเต็งที่มีโอกาสสูงในการคว้า บัลลงดอร์ เหนือกว่าดาวยิงจากพรีเมียร์ลีกหลายรายในขณะนี้

เปแอสเช ดวลจุดโทษดับ ลิเวอร์พูล 4-1 ทะลุรอบ 8

0

ปารีส แซงต์-แชร์กแมง คว้าตั๋วเข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้สำเร็จ หลังเอาชนะ ลิเวอร์พูล ในการดวลจุดโทษ 4-1 หลังเสมอกันในสองนัดด้วยสกอร์รวม 1-1 โดยมีสองแข้ง “หงส์แดง” ยิงจุดโทษพลาด

รูปเกม – หงส์แดงพลาดโอกาสก่อนโดนลงโทษ

อาร์เน่ สล็อต ปรับทัพจากเกมล่าสุดที่ชนะเซาธ์แฮมป์ตัน โดยส่ง แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน, อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ และ ดีโอโก้ โชต้า กลับมาสตาร์ทเป็นตัวจริง ส่วน ดาร์วิน นูนเญซ และ เคอร์ติส โจนส์ ต้องเริ่มต้นที่ม้านั่งสำรอง ขณะที่ โคดี้ กัคโป ฟิตพร้อมมีชื่อบนม้านั่ง

ฝั่ง หลุยส์ เอ็นริเก้ ยึด 11 ตัวจริงชุดเดิมจากนัดแรก นำโดยแนวรุกอย่าง อุสมาน เดมเบเล่, ควิชา ควารัตสเคเลีย และ แบร็ดลีย์ บาร์โคล่า

เริ่มเกมมาได้เพียง 4 นาที ลิเวอร์พูล เกือบขึ้นนำจากจังหวะที่ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ ลากบอลเข้าเขตโทษก่อนป้ายให้ โมฮาเหม็ด ซาล่าห์ ซัดด้วยซ้าย แต่บอลไปติด นูโน่ เมนเดส ออกหลัง

ถัดมาในนาทีที่ 12 เปแอสเช ขึ้นนำ 1-0 จากจังหวะสวนกลับเร็ว นูโน่ เมนเดส จ่ายทะลุช่องให้ อุสมาน เดมเบเล่ รับบอล ก่อนส่งให้ แบร็ดลีย์ บาร์โคล่า แตะคืนให้ เดมเบเล่ ซัดไปติด อิบราฮิมา โคนาเต้ แต่บอลเด้งกลับมาเข้าทางเดิมเบเล่ก่อนยิงเข้าไป ทำให้สกอร์รวมกลับมาเสมอกัน 1-1

ลิเวอร์พูล มีโอกาสตีเสมอหลายครั้งในช่วงครึ่งหลัง นาทีที่ 52 เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ยิงไปติดเซฟ จานลุยจิ ดอนนารุมม่า ก่อนบอลเด้งมาเข้าทางตัวเองแล้วยิงชนเสา โดมินิค โซบอสซ์ไล ซ้ำเข้าไปแต่ VAR ปฏิเสธประตู เนื่องจาก หลุยส์ ดิอาซ อยู่ในตำแหน่งล้ำหน้า

แม้ว่าทั้งสองทีมจะมีโอกาสทำประตูเพิ่ม แต่สุดท้ายจบ 90 นาที เปแอสเช ชนะ ลิเวอร์พูล 1-0 ทำให้สกอร์รวม 1-1 ต้องเล่นในช่วงต่อเวลาพิเศษครบ 120 นาที ยังไม่มีฝ่ายใดยิงเพิ่มได้

ดวลจุดโทษ – เปแอสเช แม่นกว่า หงส์แดงพลาดสองคน

ช่วงตัดสินด้วยการดวลจุดโทษ เปแอสเช ยิงเข้าทั้ง 4 คน ได้แก่ วิตินญ่า, กอนซาโล รามอส, อุสมาน เดมเบเล่ และ เดซีเร่ ดูเอ้ ขณะที่ ลิเวอร์พูล มีเพียง โมฮาเหม็ด ซาล่าห์ ที่ยิงเข้า ส่วน ดาร์วิน นูนเญซ และ เคอร์ติส โจนส์ ยิงพลาด ทำให้ เปแอสเช เอาชนะจุดโทษ 4-1

เปแอสเช ลิ่วรอบ 8 ทีมสุดท้าย รอพบผู้ชนะระหว่าง คลับ บรูช หรือ แอสตัน วิลล่า

ชัยชนะนัดนี้ส่งให้ เปแอสเช ทะลุเข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศ โดยพวกเขาจะรอพบผู้ชนะระหว่าง คลับ บรูช หรือ แอสตัน วิลล่า ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย


รายชื่อ 11 ผู้เล่นตัวจริง

ลิเวอร์พูล (4-2-3-1) :
อลีสซง เบ็คเกอร์ – เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, อิบราฮิมา โคนาเต้, เฟอร์จิล ฟาน ไดจ์ค, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน – อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์, ไรอัน กราเฟนแบร์ก – โดมินิค โซบอสซ์ไล, โมฮาเหม็ด ซาล่าห์, หลุยส์ ดิอาซ – ดีโอโก้ โชต้า

เปแอสเช (4-3-3) :
จานลุยจิ ดอนนารุมม่า – อาชราฟ ฮาคิมี่, มาร์ควินญอส, วิลเลี่ยน ปาโช่, นูโน่ เมนเดส – ฟาเบียน รุยซ์, วิตินญ่า, ชูเอา เนเวส – ควิชา ควารัตสเคเลีย, อุสมาน เดมเบเล่, แบร็ดลีย์ บาร์โคล่า


ผลการแข่งขันคู่อื่น (คืนวันที่ 11 มีนาคม 2025)

🔹 บาร์เซโลน่า 3-1 เบนฟิก้า (สกอร์รวม 4-1)
🔹 ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น 0-2 บาเยิร์น มิวนิค (สกอร์รวม 5-0)
🔹 อินเตอร์ มิลาน 2-1 เฟเยนูร์ด (สกอร์รวม 4-1)

แมนฯ ยูไนเต็ด เปิดแผนสร้างสนามใหม่ ทุ่มงบกว่า 2 พันล้านปอนด์

0

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ประกาศแผนการสร้าง สนามกีฬาแห่งใหม่ ที่มีความจุกว่า 100,000 ที่นั่ง เพื่อยกระดับประสบการณ์ของแฟนบอลและรักษาสถานะของสโมสรในฐานะหนึ่งในทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก คาดการณ์ว่าการลงทุนครั้งนี้จะใช้เงินมากกว่า 2,000 ล้านปอนด์

สนามใหม่แทนที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด บนพื้นที่เดิม

สนามแห่งใหม่นี้จะถูกสร้างขึ้นบนที่ดินที่อยู่ติดกับ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ซึ่งเป็นสนามเหย้าของสโมสรมานานกว่า 115 ปี โดยการออกแบบจะคงจิตวิญญาณและรากฐานของทีมเอาไว้ ขณะเดียวกันก็เสริมความทันสมัยและความสะดวกสบายให้กับแฟนบอลมากขึ้น

เซอร์ จิม แรตคลิฟฟ์ เจ้าของร่วมของสโมสร เปิดเผยว่า สนามใหม่จะช่วยยกระดับประสบการณ์ของแฟนบอลและเป็นแลนด์มาร์กสำคัญของเมืองแมนเชสเตอร์

แรงบันดาลใจจากตราสโมสร – ดีไซน์ล้ำสมัยระดับโลก

จากภาพเรนเดอร์ที่เปิดตัว สนามแห่งใหม่ของแมนฯ ยูไนเต็ด จะมี หอคอย 3 แห่ง ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจาก สามง่ามของปีศาจแดง ที่เป็นตราสัญลักษณ์ของสโมสร ขณะที่โครงสร้างของสนามจะมี หลังคาขนาดใหญ่ ที่ออกแบบให้สามารถกันแดดและฝน รวมถึงระบบระบายอากาศที่ทันสมัย

จุดเด่นของสนามใหม่

  • โครงสร้างหลังคาที่รองรับสภาพอากาศ
  • เส้นทางเดินรอบสนามที่คล้ายกับสนามเวมบลีย์
  • ล้อมรอบด้วยคลองขนาดเล็ก สร้างบรรยากาศคล้ายแลนด์มาร์กสำคัญ
  • พื้นที่รอบสนามเต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร และโซนแฟนโซน

โครงการนี้ได้รับการออกแบบโดย Foster + Partners บริษัทสถาปนิกชื่อดังของอังกฤษ ซึ่งเป็นผู้อยู่เบื้องหลังงานออกแบบระดับโลกหลายแห่ง อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลท้องถิ่นของ แคว้นเกรทเธอร์ แมนเชสเตอร์

ผลกระทบทางเศรษฐกิจและแผนการก่อสร้าง

แผนการก่อสร้างสนามแห่งใหม่นี้คาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 5 ปี และคาดว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรอย่างมหาศาล โดยการวิเคราะห์ทางเศรษฐกิจชี้ว่า

  • สนามแห่งใหม่นี้จะดึงดูด นักท่องเที่ยวกว่า 1.8 ล้านคนต่อปี
  • สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจของอังกฤษมากกว่า 7,300 ล้านปอนด์ต่อปี
  • ก่อให้เกิดการจ้างงานใหม่กว่า 92,000 ตำแหน่ง

แผนการสร้างสนามแห่งใหม่ของ แมนฯ ยูไนเต็ด ถือเป็นหนึ่งในโปรเจ็กต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร และเป็นก้าวสำคัญที่อาจเปลี่ยนโฉมหน้าของ “ปีศาจแดง” ไปตลอดกาล

ลิเวอร์พูล คอนเฟิร์มเซ็นสัญญาชุดแข่งใหม่ หวนร่วมงาน อาดิดาส

0

ลิเวอร์พูล บรรลุข้อตกลงกับ อาดิดาส ในการเป็นผู้ผลิตชุดแข่งรายใหม่ของสโมสร โดยจะเริ่มต้นตั้งแต่ฤดูกาล 2025/26 เป็นต้นไป คาดการณ์ว่ามูลค่าของดีลนี้อยู่ที่ 60 ล้านปอนด์ต่อปี

การกลับมาร่วมงานกันครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 13 ปี หลังจากที่ “หงส์แดง” เคยสวมชุดแข่งของอาดิดาสก่อนหน้านี้ จนกระทั่งสิ้นสุดสัญญาในปี 2012 โดยปัจจุบัน ลิเวอร์พูล ใช้ชุดแข่งจาก ไนกี้ ซึ่งจะหมดสัญญาลงหลังจบฤดูกาล 2024/25

หวนคืนยุคแห่งความสำเร็จภายใต้แบรนด์อาดิดาส

ลิเวอร์พูล เคยร่วมงานกับ อาดิดาส มาแล้วหลายช่วงเวลา รวมถึงยุคที่ทีมประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยเฉพาะช่วง ปี 1985-1996 ซึ่งเป็นช่วงเวลา 11 ปี ที่สโมสรคว้าแชมป์มากมาย และสร้างประวัติศาสตร์ในยุคทองของทีม

จากรายงานของ Liverpool Echo ระบุว่า ข้อตกลงครั้งนี้จะมีระยะเวลาทั้งหมด 5 ปี นับเป็นครั้งที่สามในประวัติศาสตร์ของสโมสรที่ ลิเวอร์พูล จะสวมชุดแข่งที่มีโลโก้ สามแถบอันเป็นเอกลักษณ์ของอาดิดาส

แถลงการณ์จาก ลิเวอร์พูล และ อาดิดาส

บิลลี่ โฮแกน ซีอีโอของ ลิเวอร์พูล กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ว่า
“เราทุกคนในสโมสรตื่นเต้นอย่างมากที่ได้ต้อนรับ อาดิดาส กลับสู่ครอบครัว ลิเวอร์พูล อีกครั้ง”

“เรามีช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมร่วมกันในอดีต และสร้างชุดแข่งที่กลายเป็นไอคอนตลอดกาล อาดิดาส และ ลิเวอร์พูล ต่างมีเป้าหมายเดียวกันคือการประสบความสำเร็จ และเราหวังว่าจะได้สร้างชุดแข่งที่น่าจดจำอีกครั้ง ซึ่งช่วยเสริมศักยภาพของนักเตะในสนาม”

พร้อมกันนี้ โฮแกน ยังได้กล่าวขอบคุณ ไนกี้ สำหรับการเป็นพาร์ทเนอร์ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา และอวยพรให้พวกเขาประสบความสำเร็จในอนาคต

ช่วงเปลี่ยนผ่านระหว่างสองแบรนด์

แม้จะมีการประกาศข้อตกลงใหม่แล้ว แต่เนื่องจากสัญญากับอาดิดาสจะเริ่มต้นอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 สิงหาคม 2025 ลิเวอร์พูล จะยังคงใช้ชุดแข่งของ ไนกี้ ต่อไปในช่วงพรีซีซั่น ซึ่งมักจะเริ่มขึ้นในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม ก่อนที่ทีมจะเปลี่ยนมาใช้ชุดแข่งของอาดิดาสสำหรับฤดูกาลใหม่

การกลับมาของอาดิดาสอาจนำไปสู่การออกแบบชุดแข่งที่แฟนบอลตั้งตารอ และเป็นจุดเริ่มต้นของบทใหม่ในประวัติศาสตร์ของสโมสรภายใต้แบรนด์กีฬาระดับโลกอีกครั้ง

อโมริม ยกย่อง บรูโน่ หวังแมนยูมีนักเตะแบบกัปตันทีมมากขึ้น

0

รูเบน อโมริม กุนซือของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ออกปากชื่นชมผลงานของ บรูโน่ แฟร์นันด์ส พร้อมระบุว่าหากทีมมีนักเตะที่ทุ่มเทและมุ่งมั่นเหมือนกัปตันทีมชาวโปรตุเกสมากขึ้น ปีศาจแดงคงไม่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ซับซ้อนเช่นนี้

บรูโน่ เพิ่งยิงประตูสุดสวยจากลูกฟรีคิก ช่วยให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ขึ้นนำก่อนในเกมที่เสมอ อาร์เซน่อล 1-1 ที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด ในศึกพรีเมียร์ลีกเมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ผลเสมอนัดนี้ทำให้ ยูไนเต็ด มีเพิ่มเป็น 34 คะแนน รั้งอันดับ 14 ของตาราง

อโมริม กล่าวถึง บรูโน่ ว่า:
“เราต้องการนักเตะแบบ บรูโน่ มากกว่านี้ มันไม่ใช่แค่เรื่องของฝีเท้า แต่รวมถึงบุคลิกความเป็นผู้นำด้วย แน่นอนว่าเขาอาจมีข้อผิดพลาดบ้าง แต่เขาเป็นนักเตะที่เด็ดขาดมาก ทั้งตอนที่มีบอลและไม่มีบอล”

“เขาทุ่มเทเต็มที่เสมอ บางครั้งเขาอาจจะแสดงความหงุดหงิดออกมา แต่นั่นเป็นเพราะเขาต้องการชัยชนะมากกว่าคนอื่น ผมเข้าใจดี เขาพร้อมลงเล่นทุกตำแหน่ง และเมื่อทีมต้องการประตูหรือแอสซิสต์ เขามักจะเป็นคนที่ช่วยเราได้เสมอ”

บรูโน่ ยังคงเป็นแข้งคนสำคัญของแมนฯ ยูไนเต็ด

ปัจจุบัน บรูโน่ แฟร์นันด์ส คือ ดาวซัลโวสูงสุดของ แมนฯ ยูไนเต็ด ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ ด้วยจำนวน 7 ประตู และหากรวมทุกรายการ เขายิงไปแล้ว 12 ประตู ทำให้ยังครองตำแหน่งดาวซัลโวของทีมอยู่

นอกจากนี้ กองกลางชาวโปรตุเกส มีส่วนร่วมกับ 14 ประตูในลีกฤดูกาลนี้ และจากผลงานลูกฟรีคิกล่าสุด ทำให้เขาทำสถิติ มีส่วนร่วมกับ 25 ประตูในทุกรายการต่อฤดูกาล เป็นปีที่สามติดต่อกัน

ตามรายงานของ BBC ระบุว่า ตั้งแต่ บรูโน่ ประเดิมสนามกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ในเดือนกุมภาพันธ์ 2020 มีเพียง โมฮาเหม็ด ซาล่าห์ (177 ประตู/แอสซิสต์) และ ซน ฮึง มิน (124 ประตู/แอสซิสต์) เท่านั้นที่มีส่วนร่วมกับประตูมากกว่าเขา (109 ประตู/แอสซิสต์) ในพรีเมียร์ลีก

ชัดเจนว่า อโมริม ต้องการให้ บรูโน่ เป็นแกนหลักของทีมทั้งในระยะสั้นและระยะกลาง ขณะที่เขากำลังวางรากฐานเพื่อพา แมนฯ ยูไนเต็ด กลับมาเป็นทีมที่แข็งแกร่งและน่าจับตามองอีกครั้ง

ซาล่าห์ ทำสถิติใหม่ หลังซัดสองจุดโทษแมตช์ล่าสุด

0

โมฮาเหม็ด ซาล่าห์ กดสองจุดโทษช่วยให้ ลิเวอร์พูล พลิกแซงเอาชนะ เซาธ์แฮมป์ตัน 3-1 ไม่เพียงแต่รักษาตำแหน่งดาวซัลโวพรีเมียร์ลีกแบบทิ้งห่าง แต่ยังจารึกสถิติสำคัญกับสโมสรเพิ่มขึ้นอีกด้วย

ลิเวอร์พูล ต้องตกเป็นฝ่ายตามหลังก่อนจากประตูของ วิลล์ สมอลล์โบน แต่สามารถคัมแบ็กกลับมาได้สำเร็จจากการทำประตูของ ดาร์วิน นูนเญซ และสองจุดโทษของ ซาล่าห์ ทำให้ “หงส์แดง” เก็บสามแต้มสำคัญเพิ่มเป็น 70 คะแนนจาก 29 นัด ทิ้งห่าง อาร์เซน่อล อันดับสอง 16 แต้ม แต่ลงเล่นมากกว่า 2 เกม

ซาล่าห์ ยังคงโชว์ฟอร์มร้อนแรงในลีก ยิงไปแล้ว 27 ประตู นำเป็นดาวซัลโวพรีเมียร์ลีกแบบขาดลอย โดยมี เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ ตามหลังอยู่ 7 ประตู (20 ลูก) ขณะที่จำนวนประตูรวมจากทุกรายการในฤดูกาลนี้เพิ่มเป็น 32 ประตู และมีส่วนร่วมโดยตรงกับ 44 ประตู (27 ประตู + 17 แอสซิสต์) ซึ่งถือเป็นตัวเลขสูงสุดในลีกสำหรับฤดูกาลแข่งขัน 38 นัด

นอกจากนั้น กองหน้าวัย 32 ปี ยังทำสถิติขึ้นไปทาบ เอียน รัช ตำนานของสโมสรในฐานะนักเตะที่ยิง เซาธ์แฮมป์ตัน ได้มากที่สุด (10 ประตู) พร้อมทั้งขยับขึ้นมาเป็นดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลอันดับ 3 ของลิเวอร์พูล แซงหน้า กอร์ดอน ฮอดจ์สัน ด้วยจำนวน 243 ประตู ตามหลัง โรเจอร์ ฮันท์ (285 ประตู) และ เอียน รัช (346 ประตู)

นอกจากนี้ ซาล่าห์ ยังทำสถิติเทียบเท่า เซร์คิโอ อเกวโร่ อดีตกองหน้า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในฐานะผู้เล่นที่ทำประตูมากที่สุดในพรีเมียร์ลีกเป็นอันดับ 5 ร่วม ด้วยจำนวน 184 ประตู

สำหรับจำนวน 243 ประตูที่เขาทำได้ในสีเสื้อ ลิเวอร์พูล แบ่งออกเป็น

  • พรีเมียร์ลีก: 182 ประตู
  • ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก: 45 ประตู
  • ยูโรป้า ลีก: 5 ประตู
  • เอฟเอ คัพ: 6 ประตู
  • คาราบาว คัพ: 4 ประตู
  • คอมมูนิตี้ ชิลด์: 1 ประตู

หลังจบเกม ซาล่าห์ ให้สัมภาษณ์ว่า
“ผมไม่คิดว่าเราเล่นได้ดีในวันนี้ แต่การคว้าแชมป์ต้องอาศัยชัยชนะในเกมแบบนี้ หากคุณต้องการเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกหรือยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก คุณต้องหาทางคว้าสามแต้มแม้ในวันที่เล่นไม่ดีที่สุด”

ดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของลิเวอร์พูล

  1. เอียน รัช – 346 ประตู
  2. โรเจอร์ ฮันท์ – 285 ประตู
  3. โมฮาเหม็ด ซาล่าห์ – 243 ประตู
  4. กอร์ดอน ฮอดจ์สัน – 241 ประตู
  5. บิลลี่ ลิดเดลล์ – 228 ประตู
  6. สตีเว่น เจอร์ราร์ด – 186 ประตู
  7. ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ – 183 ประตู

ลิเวอร์พูลแซงดับเซาธ์แฮมป์ตัน 3-1! รั้งจ่าฝูงต่อ

0

แม้จะถูก เซาธ์แฮมป์ตัน บุกมาขึ้นนำก่อน แต่ ลิเวอร์พูล พลิกกลับมาเอาชนะไปได้ 3-1 โดยเกมนี้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ซัดสองประตูจากลูกจุดโทษ พาทีมเก็บ 3 แต้มสำคัญ ยึดจ่าฝูงพรีเมียร์ลีก ทิ้งห่างอันดับสองถึง 16 คะแนน

สล็อตโดนแบนต่อ แต่ลิเวอร์พูลยังแกร่ง

เกมนี้ อาร์เน่ สล็อต กุนซือของหงส์แดง ถูกแบนจากการคุมทีมข้างสนามเป็นนัดสุดท้ายจากโทษแบน 2 เกม เขาปรับทีมจากเกมชนะ เปแอสเช ในยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก 1-0 โดยส่ง ดาร์วิน นูนเญซ, คอสตาส ซิมิกาส และ เคอร์ติส โจนส์ ลงตัวจริงแทน ดีโอโก้ โชต้า, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน และ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์

ฝั่ง เซาธ์แฮมป์ตัน ภายใต้การคุมทีมของ อีวาน ยูริช เกมที่แล้วบุกไปแพ้ เชลซี 0-4 ทำให้ต้องมีการเปลี่ยนทีมถึง 6 ตำแหน่ง และปรับมาใช้แนวรับ 4 คน โดย ยาน เบดนาเร็ค และ เทย์เลอร์ ฮาร์วูด-เบลลิส หายเจ็บกลับมาช่วยทีม

สมอลล์โบนซัดพานักบุญนำก่อนครึ่งแรก

เริ่มเกมมาเพียง 6 นาที ลิเวอร์พูล ได้ลุ้นก่อนจากจังหวะยิงของ เคอร์ติส โจนส์ แต่บอลหลุดกรอบออกไป หลังจากนั้น เจ้าบ้านครองเกมเหนือกว่าอย่างชัดเจน บุกกดดันต่อเนื่อง แต่ยังไม่สามารถส่งบอลสู่ก้นตาข่ายได้

เกมทำท่าจะจบครึ่งแรกด้วยสกอร์ 0-0 แต่ช่วงทดเวลาบาดเจ็บ เซาธ์แฮมป์ตัน มาได้ประตูขึ้นนำ 1-0 ในนาทีที่ 45+1 จากความผิดพลาดของแนวรับ เฟอร์จิล ฟาน ไดจ์ค ที่พยายามบังบอลให้ อลีสซง เบ็คเกอร์ แต่ดันถูก วิลล์ สมอลล์โบน ฉกไปยิงผ่านมือผู้รักษาประตูเข้าไป ทำให้ นักบุญ ออกนำก่อนจบครึ่งแรก

หงส์แดงคืนฟอร์ม ซัด 3 ลูกครึ่งหลัง แซงชนะ 3-1

เข้าสู่ครึ่งหลัง นาทีที่ 52 ลิเวอร์พูล มาตีเสมอได้สำเร็จจากการเล่นทางกราบซ้าย หลุยส์ ดิอาซ ลากบอลไปสุดเส้นแล้วจ่ายเข้ากลางให้ ดาร์วิน นูนเญซ ซัดเข้าไปไม่เหลือ ทำให้สกอร์กลับมาเท่ากันที่ 1-1

ถัดมาเพียงนาทีเดียว ลิเวอร์พูล มาได้จุดโทษจากจังหวะที่ วิลล์ สมอลล์โบน ทำฟาวล์ ดาร์วิน นูนเญซ ในเขตโทษ และเป็น โมฮาเหม็ด ซาลาห์ รับหน้าที่สังหารไม่พลาด ส่งให้หงส์แดงพลิกขึ้นนำ 2-1 ในนาทีที่ 54 ซึ่งเป็นประตูที่ 26 ของเขาในลีกฤดูกาลนี้ และรวมแล้ว 31 ประตูในทุกรายการ

นาทีที่ 71 ลิเวอร์พูล มีโอกาสทองจะได้ประตูที่สาม แต่ ซาลาห์ ยิงหลุดกรอบไปอย่างน่าเสียดาย

VAR ช่วยยืนยันจุดโทษ! ซาลาห์ยิงฝัง 3-1

เกมทำท่าว่าจะจบลงที่ 2-1 แต่ในนาทีที่ 87 ลิเวอร์พูล มาได้จุดโทษอีกครั้ง หลังจากที่ผู้ตัดสินเช็ก VAR แล้วตัดสินว่า ยูกินาริ ซูกาวาระ กองหลังตัวสำรองของทีมเยือนทำแฮนด์บอลในจังหวะป้องกัน หลุยส์ ดิอาซ และเป็น ซาลาห์ คนเดิมยิงเข้าไปแบบเฉียบขาด ทำให้ ลิเวอร์พูล หนีห่างเป็น 3-1

ช่วงเวลาที่เหลือไม่มีประตูเพิ่มเติม จบเกม ลิเวอร์พูล คว้า 3 แต้มสำคัญ มีเพิ่มเป็น 70 คะแนนจาก 29 นัด นำห่าง อาร์เซน่อล อันดับ 2 อยู่ 16 แต้ม แต่แข่งมากกว่า 2 นัด ขณะที่ เซาธ์แฮมป์ตัน มี 9 คะแนนจาก 28 นัด โอกาสตกชั้นสู่แชมเปียนชิพเริ่มชัดเจน

เกมต่อไป ลิเวอร์พูล จะยังเล่นในแอนฟิลด์ รับการมาเยือนของ เปแอสเช ในศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดที่สอง ซึ่งเป็นเกมชี้ชะตาการเข้ารอบ


รายชื่อ 11 ตัวจริงของทั้งสองทีม

ลิเวอร์พูล (4-2-3-1) : อลีสซง เบ็คเกอร์ – เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, อิบราฮิม่า โกนาเต้, เฟอร์จิล ฟาน ไดจ์ค, คอสตาส ซิมิกาส – โดมินิค โซบอสซ์ไล, ไรอัน กราเฟนแบร์ก, เคอร์ติส โจนส์ – โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ดาร์วิน นูนเญซ, หลุยส์ ดิอาซ

เซาธ์แฮมป์ตัน (4-2-3-1) : อารอน แรมส์เดล – ไคล์ วอล์คเกอร์-ปีเตอร์ส, ยาน เบดนาเร็ค, เทย์เลอร์ ฮาร์วูด-เบลลิส, ไรอัน แมนนิ่ง – เลสลี่ย์ อูโกชุควู, วิลล์ สมอลล์โบน – ดริบบิ้งค์, มาเตอุส แฟร์นานเดส – อัลเบิร์ต เกรินบาก์

ห้ามพลาด!