Home Blog Page 37

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เซ็นสัญญาคว้า “โอมาร์ มาร์มูช”

0

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ประกาศคว้าตัว โอมาร์ มาร์มูช แนวรุกชาวอียิปต์วัย 25 ปีจากไอน์ทรัค แฟร้งค์เฟิร์ต มาร่วมทีมอย่างเป็นทางการ โดยเซ็นสัญญายาว 4 ปีครึ่ง ถึงช่วงซัมเมอร์ปี 2029 ด้วยค่าตัว 59 ล้านปอนด์ พร้อมเงื่อนไขโบนัสเพิ่มเติม

มาร์มูช ถือเป็นผู้เล่นที่เล่นได้หลากหลายตำแหน่งในเกมรุก ทั้งกองหน้าตัวเป้าและมิดฟิลด์ตัวรุกหมายเลข 10 แต่ตำแหน่งที่เจ้าตัวโดดเด่นที่สุดในช่วงเล่นให้กับแฟร้งค์เฟิร์ตคือกองหน้าตัวกลาง สำหรับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ มาร์มูชจะสวมเสื้อหมายเลข 7 และถือเป็นนักเตะใหม่รายที่สามของ “เรือใบสีฟ้า” ในตลาดซื้อขายเดือนมกราคมนี้ ต่อจาก อับดูโคดิร์ คูซานอฟ และ วิตอร์ เรส

ผลงานโดดเด่นในบุนเดสลีกา

ในฤดูกาลแรกของเขากับไอน์ทรัค แฟร้งค์เฟิร์ต มาร์มูชสร้างผลงานสุดประทับใจ ด้วยการยิง 17 ประตู จากการลงเล่น 41 นัด ในทุกรายการ และยังโชว์ฟอร์มร้อนแรงต่อเนื่องในซีซั่น 2024-25 ด้วยการซัดไปแล้ว 20 ประตู และทำ 14 แอสซิสต์ จากการลงสนามเพียง 26 นัด

ความรู้สึกของมาร์มูชหลังเซ็นสัญญา

มาร์มูชเปิดใจถึงความยินดีในการย้ายมาเล่นให้กับแชมป์ยุโรปว่า:

“วันนี้เป็นวันที่ผมไม่มีวันลืม การเซ็นสัญญากับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ หนึ่งในทีมที่ดีที่สุดในโลก เป็นความรู้สึกที่เหลือเชื่อ ครอบครัวของผมภูมิใจมาก และเราต่างมีความสุขที่ได้อยู่ที่นี่ในแมนเชสเตอร์”

เขายังกล่าวถึงเป้าหมายในทีมใหม่ว่า:

“ผมต้องการคว้าแชมป์ร่วมกับสโมสรนี้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เป็นทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในอังกฤษในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผมจึงรู้ว่าผมอยู่ในสภาพแวดล้อมของผู้ชนะ ผมอยากเรียนรู้จากเพื่อนร่วมทีมและทีมงานที่ยอดเยี่ยม และผมตั้งใจจะเป็นผู้เล่นคนสำคัญของทีม”

เป้าหมายข้างหน้า

นักเตะวัย 25 ปียังเสริมว่าเขาตั้งตารอที่จะได้ร่วมงานกับเพื่อนร่วมทีมคนใหม่ และแสดงศักยภาพให้แฟนบอลได้เห็น

“ผมแทบรอไม่ไหวที่จะได้เริ่มต้นกับเพื่อนร่วมทีม และแสดงให้แฟนบอลแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เห็นถึงสิ่งที่ผมสามารถทำได้ ผมพร้อมที่จะมอบทุกอย่างเพื่อสโมสรนี้”

ด้วยฟอร์มการเล่นอันร้อนแรงและทัศนคติที่มุ่งมั่น มาร์มูชถูกคาดหวังว่าจะเข้ามาเสริมความแข็งแกร่งให้กับแนวรุกของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้อย่างน่าประทับใจในช่วงครึ่งหลังของฤดูกาลนี้ 🌟

สรุปเงินรางวัลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 2024-25

0

ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ฤดูกาล 2024-25 ที่มาพร้อมรูปแบบใหม่ เพิ่มจำนวนทีมเป็น 36 ทีมจากเดิม 32 ทีม โดยในรอบ ลีกเฟส แต่ละทีมจะลงเล่น 8 นัด แบ่งเป็นเกมเหย้า 4 นัด และเกมเยือน 4 นัด ทีมที่ทำผลงานดีที่สุด 8 อันดับแรกจะผ่านเข้าสู่รอบน็อกเอาต์โดยอัตโนมัติ ขณะที่ทีมอันดับ 9-24 จะต้องไปเล่นรอบเพลย์ออฟแบบเหย้า-เยือน เพื่อแย่งชิงอีก 8 โควตาสำหรับรอบ 16 ทีมสุดท้าย ส่วนทีมอันดับ 25-36 จะตกรอบทันที และไม่มีสิทธิ์ลงเล่นในถ้วยยูโรปาลีกเหมือนในอดีต

การแข่งขันในครั้งนี้ นอกจากจะเพิ่มความดุเดือดในสนามแล้ว ยังมีเงินรางวัลมหาศาลเป็นแรงจูงใจให้กับสโมสรต่าง ๆ โดยแต่ละรอบของการแข่งขันจะมาพร้อมกับเงินรางวัลที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามผลงาน


เงินรางวัลรอบลีกเฟส

  • เงินเข้าร่วมรอบลีกเฟส: สโมสรที่ผ่านเข้ารอบนี้จะได้รับ 18.62 ล้านยูโรทันที
  • โบนัสผลงาน:
    • ชัยชนะในแต่ละเกม: 2.1 ล้านยูโร
    • เสมอในแต่ละเกม: 700,000 ยูโร
  • ตำแหน่งในตาราง:
    • แต่ละอันดับมีมูลค่า 275,000 ยูโร
    • อันดับที่ 36 (บ๊วย) จะได้รับ 275,000 ยูโร
    • อันดับที่ 35 จะได้รับ 550,000 ยูโร
    • ไปจนถึงทีมจ่าฝูงอันดับ 1 ซึ่งจะรับเงินรางวัลสูงสุด 9.9 ล้านยูโร

เงินรางวัลโบนัสเพิ่มเติม

  • ทีมที่จบอันดับ 1-8 (ผ่านเข้ารอบน็อกเอาต์โดยอัตโนมัติ): โบนัส 2 ล้านยูโร
  • ทีมที่จบอันดับ 9-16: โบนัส 1 ล้านยูโร

นอกจากนี้ รายได้จากการถ่ายทอดสดก็จะถูกแจกจ่ายตามอันดับที่แต่ละทีมจบในรอบลีกเฟส ยิ่งผลงานดี รายได้ส่วนนี้ยิ่งสูง


เงินรางวัลรอบน็อกเอาต์

เมื่อผ่านเข้าสู่รอบน็อกเอาต์ เงินรางวัลจะเพิ่มขึ้นตามลำดับ ดังนี้:

  • รอบเพลย์ออฟน็อกเอาต์: 840,000 ปอนด์ (ประมาณ 35.1 ล้านบาท)
  • รอบ 16 ทีมสุดท้าย: 9.3 ล้านปอนด์ (ประมาณ 388.9 ล้านบาท)
  • รอบก่อนรองชนะเลิศ: 10.6 ล้านปอนด์ (ประมาณ 443.3 ล้านบาท)
  • รอบรองชนะเลิศ: 12.7 ล้านปอนด์ (ประมาณ 531 ล้านบาท)
  • รองแชมป์: 15.6 ล้านปอนด์ (ประมาณ 652.4 ล้านบาท)
  • แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก: 21.1 ล้านปอนด์ (ประมาณ 882.2 ล้านบาท)

สรุป

เวทียูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 2024-25 ไม่เพียงแต่สร้างความท้าทายในสนาม แต่ยังมาพร้อมเงินรางวัลที่มหาศาลในทุกขั้นตอนของการแข่งขัน สโมสรที่ทำผลงานได้ดีในแต่ละรอบ จะได้รับส่วนแบ่งที่มากขึ้นอย่างชัดเจน ถือเป็นอีกแรงจูงใจสำคัญที่ผลักดันให้ทุกทีมต้องแข่งขันกันอย่างเต็มที่ในฤดูกาลนี้ 🏆

“เป๊ป” รับแมนซิตี้เจอปัญหาใหญ่หลังพ่ายเปแอสเช

0

เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กุนซือแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยอมรับว่าทีมของเขายังไม่สามารถต่อกรกับสโมสรชั้นนำได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ หลังจากพ่ายแพ้ให้กับ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง 2-4 ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบลีกเฟส นัดที่ 7 เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา ซึ่งทำให้สถานการณ์ของ “เรือใบสีฟ้า” เข้าขั้นวิกฤต เสี่ยงต่อการตกรอบ

เกมพลิกจากนำ 2-0 สู่ความพ่ายแพ้ 2-4

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เริ่มต้นเกมได้อย่างยอดเยี่ยม โดยขึ้นนำก่อนถึง 2-0 แต่หลังจากนั้น ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ภายใต้การคุมทีมของ หลุยส์ เอ็นริเก้ พลิกสถานการณ์ด้วยการยิง 4 ประตูรวด ส่งผลให้แชมป์เก่ายุโรป 2022-23 ต้องพบกับความพ่ายแพ้ครั้งสำคัญ

สถานการณ์ในตาราง

ผลการแข่งขันนี้ทำให้แมนเชสเตอร์ ซิตี้ หล่นไปอยู่ในอันดับที่ 25 จากทั้งหมด 36 ทีมในรอบลีกเฟส และหากพวกเขาไม่สามารถเอาชนะ คลับ บรูกก์ ในเกมสุดท้ายของรอบนี้ได้ ทีมก็จะหมดโอกาสผ่านเข้าสู่รอบเพลย์ออฟ

ความเห็นของเป๊ป

หลังเกม กวาร์ดิโอล่า ยอมรับถึงความยากลำบากในการเผชิญหน้ากับทีมชั้นนำอย่างเปแอสเช โดยกล่าวว่า:

“เราเจอปัญหาใหญ่ พวกเขาทำได้ดีกว่า ทั้งในเรื่องสมาธิและความเฉียบขาดในเกมใหญ่แบบนี้ ทีมอย่างเปแอสเชมีคุณภาพที่สูงมาก ในขณะที่เรายังมีจุดอ่อนที่ต้องแก้ไข เราต้องยอมรับในจุดนี้”

เขายังพูดถึงเกมนัดสุดท้ายกับคลับ บรูกก์ว่า:

“เรายังมีโอกาสสุดท้ายในการแก้ตัว หากเราไม่สามารถเอาชนะได้ นั่นก็หมายความว่าเราไม่คู่ควรกับการไปต่อ”

วิเคราะห์ปัญหาในเกม

กวาร์ดิโอล่าชี้ว่าเกมนี้ปัญหาใหญ่ของทีมคือการครองบอลและการเล่นเกมรับไม่ดีพอ

“เราไม่ได้ครองบอลตามที่ควร การเชื่อมเกมระหว่าง แบร์นาโด้ ซิลวา และ มาเตโอ โควาซิช ทำได้ไม่ดีเลย นั่นทำให้เกมของเราไม่ไหลลื่น ผมพยายามแก้ไขหลายจุด แต่ท้ายที่สุดเราก็ไม่สามารถเล่นในแบบที่ต้องการได้”


แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะต้องกลับมาเรียกฟอร์มเก่งให้ได้ในเกมถัดไปกับ คลับ บรูกก์ หากพวกเขาหวังจะรักษาโอกาสในการป้องกันแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกต่อไป 🏆

ตำรวจรวบวัยรุ่น 17 ปี หลังโพสต์ข่มขู่ภรรยาของ “ฮาแวร์ตซ์”

0

เจ้าหน้าที่ตำรวจเฮิร์ตฟอร์ดเชียร์จับกุมชายวัย 17 ปี ผู้ต้องสงสัยโพสต์ข้อความข่มขู่ ไค ฮาแวร์ตซ์ และ โซเฟีย เอเมเลีย ภรรยาที่กำลังตั้งครรภ์ของเขา หลังเกมที่อาร์เซน่อลตกรอบศึกเอฟเอ คัพ ก่อนที่จะได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวด้วยการประกันตัว

เหตุการณ์หลังเกม

เหตุการณ์เริ่มต้นขึ้นหลังเกมเอฟเอ คัพ รอบ 3 ซึ่ง อาร์เซน่อล เปิดบ้านพ่ายให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในการดวลจุดโทษ 3-5 หลังเสมอกันในเวลา 120 นาที โดยในเกมนี้ ไค ฮาแวร์ตซ์ พลาดการยิงจุดโทษ ทำให้แฟนบอลบางส่วนไม่พอใจ

จากความผิดหวังในผลการแข่งขัน มีรายงานว่าผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียบางรายได้ส่งข้อความข่มขู่ในเชิงขู่ฆ่าด้วยถ้อยคำรุนแรงไปยัง โซเฟีย เอเมเลีย ภรรยาของฮาแวร์ตซ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในเป้าหมายของการล่วงละเมิด

การจับกุม

ล่าสุด BBC รายงานว่า ตำรวจเฮิร์ตฟอร์ดเชียร์ได้ดำเนินการจับกุมวัยรุ่นชายอายุ 17 ปี ที่อาศัยอยู่ในเมือง เซนต์ อัลบันส์ เนื่องจากต้องสงสัยว่าเป็นผู้โพสต์ข้อความข่มขู่ดังกล่าว การจับกุมนี้เกิดขึ้นเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา โดยเป็นส่วนหนึ่งของการสอบสวนเกี่ยวกับกรณีการล่วงละเมิดบนโซเชียลมีเดีย

สถานการณ์ปัจจุบัน

แม้ว่าผู้ต้องสงสัยวัย 17 ปีจะได้รับการประกันตัวออกมา แต่กระบวนการสอบสวนยังคงดำเนินต่อไป โดยทางตำรวจยืนยันว่าจะดำเนินการอย่างเข้มงวดต่อกรณีการล่วงละเมิดในโลกออนไลน์

เหตุการณ์นี้ตอกย้ำถึงความท้าทายที่นักกีฬาและคนใกล้ตัวต้องเผชิญจากพฤติกรรมไม่เหมาะสมบนโซเชียลมีเดีย ซึ่งเป็นปัญหาที่กำลังเพิ่มขึ้นในวงการกีฬา 🎯

“เอลเลียตต์” ประกาศลั่น ขอพิสูจน์ตัวเองกับลิเวอร์พูล

0

ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ กองกลางดาวรุ่งของลิเวอร์พูล ยืนยันหนักแน่นว่าจะไม่ย้ายออกจากทีมในช่วงตลาดซื้อขาย หลังเพิ่งโชว์ฟอร์มยอดเยี่ยมด้วยการยิงประตูชัยช่วยให้ “หงส์แดง” เฉือนเอาชนะ ลีลล์ 2-1 ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก

ก่อนหน้านี้ มีรายงานว่าเอลเลียตต์เคยหารือกับ อาร์เน่ สล็อต เรื่องการย้ายทีม เนื่องจากไม่ค่อยได้รับโอกาสลงสนามเป็นตัวจริง อย่างไรก็ตาม จากฟอร์มล่าสุด เจ้าตัวเลือกที่จะอยู่กับทีมต่อไปเพื่อพิสูจน์ฝีเท้าของตนเอง


ความรู้สึกหลังเกม

หลังจบเกม เอลเลียตต์ให้สัมภาษณ์กับ Amazon Prime ว่า

“มันยากจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดเลยครับ นี่คือความฝันในชีวิตของผมที่จะได้เล่นในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก และไม่ใช่แค่เล่นให้กับทีมในวัยเด็กของผมเท่านั้น แต่ยังได้ลงเล่นที่แอนฟิลด์ต่อหน้าแฟนบอลของเราอีกด้วย”

เขายังกล่าวถึงการทำประตูชัยว่า

“การยิงประตูในเกมสำคัญแบบนี้มันยอดเยี่ยมมาก ครอบครัวของผมก็อยู่ในสนามเพื่อชมเกมนี้ มันเป็นช่วงเวลาที่พิเศษสุดๆ แต่ตอนนี้ทุกอย่างผ่านไปแล้ว ผมต้องโฟกัสกับการฝึกซ้อมในวันพรุ่งนี้ และพร้อมที่จะทำงานหนักต่อไป”


ตอบชัดถึงอนาคต

เมื่อถูกถามถึงอนาคตในทีม เอลเลียตต์ตอบอย่างชัดเจนว่า

“การดีใจของผมในเกมมันพูดได้ชัดเจนอยู่แล้ว ผมจะไม่ไปไหน นี่คือทีมของผม สโมสรของผม ผมรักที่นี่”

ดาวเตะวัย 20 ปีกล่าวเพิ่มเติมว่า

“ผมเข้าใจดีว่ามีข่าวลือมากมาย โดยเฉพาะในเดือนมกราคม เมื่อคุณไม่ได้ลงเล่นอย่างสม่ำเสมอ แต่ฟุตบอลก็เป็นแบบนี้แหละ ผมเองก็ได้รับข้อความจากเพื่อนๆ เกี่ยวกับข่าวพวกนั้น แต่สำหรับผม สิ่งสำคัญที่สุดคือการทุ่มเทเพื่อทีม”


พร้อมอดทนเพื่อโอกาส

เอลเลียตต์ยอมรับว่าเขาได้พูดคุยกับผู้จัดการทีมเกี่ยวกับสถานการณ์ของตัวเอง แต่เข้าใจถึงสถานการณ์ที่ทีมกำลังทำผลงานได้ดี

“เรานำเป็นจ่าฝูงในพรีเมียร์ลีกและแชมเปี้ยนส์ลีก ผมจะไปบอกให้ผู้จัดการทีมส่งผมลงเป็นตัวจริงได้ยังไง? มันคงดูไม่สมเหตุสมผลเลย ผมต้องอดทน และรอโอกาสของตัวเอง”

เขากล่าวปิดท้ายว่า

“เมื่อโอกาสมาถึง ไม่ว่าจะนานแค่ไหน ผมต้องคว้ามันไว้และพิสูจน์ให้เห็นว่าผมพร้อมเต็มที่ ผมต้องสนุกกับการเล่นฟุตบอล และแสดงให้เจ้านายเห็นว่าผมสามารถช่วยทีมได้ทุกเมื่อที่จำเป็น”

ด้วยทัศนคติที่มุ่งมั่นและความตั้งใจเต็มเปี่ยม เอลเลียตต์ยังคงเป็นอนาคตที่สดใสของลิเวอร์พูลและได้รับการสนับสนุนจากแฟนบอลอย่างต่อเนื่อง ⚽

ดอร์ทมุนด์แยกทาง “ซาฮิน” หลังฟอร์มดิ่ง พ่าย 4 เกมติด

0

โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ประกาศปลด นูริ ซาฮิน พ้นตำแหน่งหัวหน้าผู้ฝึกสอนอย่างเป็นทางการ หลังทีมพ่ายแพ้เป็นนัดที่ 4 ติดต่อกัน โดยการประกาศนี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากเกมล่าสุด

ดอร์ทมุนด์เพิ่งพ่าย โบโลญญ่า 1-2 ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ทำให้พวกเขารั้งอันดับ 13 ของกลุ่มในรายการนี้ และยังคงมีฟอร์มย่ำแย่ในศึกบุนเดสลีกา โดยปัจจุบันอยู่อันดับ 10 มีคะแนนตามหลังจ่าฝูง บาเยิร์น มิวนิค ถึง 20 แต้ม


ซาฮินกล่าวอำลา

ซาฮิน กล่าวในแถลงการณ์ที่เผยแพร่โดยสโมสรว่า

“น่าเสียดายที่เราไม่สามารถทำให้ความทะเยอทะยานของสโมสรในฤดูกาลนี้สำเร็จลุล่วงได้ ผมขออวยพรให้โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ซึ่งเป็นสโมสรที่พิเศษในหัวใจของผม พบเจอแต่สิ่งดีๆ ต่อจากนี้”

ด้าน ลาร์ส ริคเค่น ผู้อำนวยการจัดการของสโมสร ระบุว่า การตัดสินใจครั้งนี้เป็นเรื่องยากสำหรับทุกคน

“เรารู้สึกซาบซึ้งในผลงานของ นูริ ซาฮิน แต่ด้วยฟอร์มการเล่นในช่วงหลัง รวมถึงชัยชนะเพียงนัดเดียวจาก 9 เกมล่าสุด ความเชื่อมั่นในการบรรลุเป้าหมายทางกีฬาเริ่มลดน้อยลง เราจำเป็นต้องทำการเปลี่ยนแปลงเพื่อนำทีมกลับมาอยู่ในเส้นทางอีกครั้ง”

เขาเสริมว่า

“การปลดซาฮินเป็นเรื่องที่ทำให้ผมเจ็บปวดเป็นการส่วนตัว แต่หลังจากเกมที่โบโลญญ่า เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงการตัดสินใจนี้ได้อีกต่อไป”


ตัวเต็งกุนซือคนใหม่

ขณะเดียวกัน รายงานจากสื่อหลายสำนักระบุว่า ตัวเต็งที่จะเข้ามาคุมทีมต่อจากซาฮินคือ เอริก เทน ฮาก อดีตผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งได้รับการจับตามองอย่างใกล้ชิดจากบอร์ดบริหารของดอร์ทมุนด์

ด้วยสถานการณ์ปัจจุบัน ดอร์ทมุนด์จำเป็นต้องเร่งฟื้นฟอร์มโดยเร็ว หากหวังที่จะกอบกู้ฤดูกาลและไต่อันดับกลับมาอยู่ในพื้นที่ลุ้นโควตาถ้วยยุโรปอีกครั้ง ⚽

สองยักษ์ใหญ่ยุโรปสนคว้า “กรีลิช” เสริมทีม หลังหลุดสำรอง

0

แจ็ค กรีลิช ปีกจอมเทคนิคของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ตกเป็นเป้าหมายของสองสโมสรใหญ่ในยุโรป ท่ามกลางความไม่แน่นอนในอนาคตของเขากับ “เรือใบสีฟ้า”

กรีลิช วัย 29 ปี ย้ายมาร่วมทีมแมนฯ ซิตี้ในปี 2021 ด้วยค่าตัวมหาศาล 100 ล้านปอนด์ ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดในวงการฟุตบอลอังกฤษ ณ เวลานั้น แต่ผลงานของเขากลับไม่เปรี้ยงปร้างในฤดูกาลนี้ โดยได้ลงตัวจริงในพรีเมียร์ลีกเพียง 6 นัด และยิงได้เพียง 1 ประตูจากการลงสนามรวม 21 เกมในทุกรายการ


เป๊ปต้องการฟอร์มเก่ากลับมา

เป๊ป กวาร์ดิโอล่า นายใหญ่ของแมนฯ ซิตี้ เคยออกมากล่าวถึงฟอร์มที่ตกลงของกรีลิช โดยเปรียบเทียบกับช่วงที่เขาเป็นกำลังสำคัญพาทีมคว้าทริปเปิ้ลแชมป์เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา เป๊ปยังเน้นย้ำว่า เขาอยากเห็นกรีลิชกลับมาเล่นในระดับนั้นอีกครั้งโดยเร็ว

นอกจากสองทีมใหญ่ในยุโรปที่มีข่าวสนใจตัวกรีลิชแล้ว ยังมีรายงานว่า 4 สโมสรในพรีเมียร์ลีกเองก็จับตาดูสถานการณ์ของปีกทีมชาติอังกฤษรายนี้อย่างใกล้ชิด ได้แก่ แอสตัน วิลล่า ทีมเก่าของเขา รวมถึง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ และ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด


ประตูแรกในรอบปี และบทบาทตัวสำรอง

ต้นเดือนที่ผ่านมา กรีลิชสามารถปลดล็อกทำประตูแรกในรอบ 392 วันได้สำเร็จ ในเกมที่แมนฯ ซิตี้ ถล่ม ซัลฟอร์ด ซิตี้ 8-0 ในศึกเอฟเอ คัพ อย่างไรก็ตาม ในเกมพรีเมียร์ลีกนัดล่าสุดที่แมนฯ ซิตี้ บุกไปถล่ม อิปสวิช 6-0 เขากลับต้องเริ่มต้นบนม้านั่งสำรอง และถูกส่งลงมาเล่นเพียง 27 นาทีสุดท้าย


อินเตอร์ และ ดอร์ทมุนด์จับตามอง

ตามรายงานจาก เดอะ ซัน สถานการณ์ของกรีลิชดึงดูดความสนใจจากสองทีมใหญ่ในยุโรป ได้แก่ อินเตอร์ มิลาน และ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ โดยทั้งสองสโมสรอาจยื่นข้อเสนอในตลาดซื้อขายที่กำลังจะมาถึง หากสถานการณ์ของเขายังไม่มีความชัดเจน

การตัดสินใจอนาคตของกรีลิชอาจขึ้นอยู่กับบทบาทของเขาในทีมแมนฯ ซิตี้ หากยังคงเป็นตัวสำรองในระยะยาว ก็ไม่แน่ว่าเขาอาจย้ายไปหาความท้าทายใหม่ในต่างแดนเร็วๆ นี้ ⏳⚽

“โคนาเต้” เปิดใจถึงอาการเจ็บหัวเข่า เผยต้องฝืนเล่นเพื่อทีม

0

อิบราฮิม่า โคนาเต้ ปราการหลังตัวเก่งของลิเวอร์พูล เปิดเผยถึงปัญหาอาการบาดเจ็บหัวเข่าที่ทำให้ต้องพักยาวหลายสัปดาห์ ก่อนจะกลับมาช่วยทีมแม้ยังไม่หายดีเต็มร้อย

โคนาเต้ได้รับบาดเจ็บที่หัวเข่าในเกมพบกับ เรอัล มาดริด เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน ซึ่งส่งผลให้เขาต้องพักรักษาตัวประมาณ 6 สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม เจ้าตัวรีบกลับมาลงสนามในเกมเสมอกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 2-2 แม้จะยังไม่ฟิตเต็มที่


ฝืนเล่นเพื่อทีม

แข้งวัย 25 ปี ยอมรับว่า การกลับมาครั้งนี้เขาต้องฝืนอาการบาดเจ็บ เนื่องจากทีมขาดผู้เล่นในแนวรับหลังจากที่ โจ โกเมซ บาดเจ็บที่กล้ามเนื้อหลังต้นขา โคนาเต้ตัดสินใจลงสนามแม้ต้องพึ่งยาแก้ปวดเพื่อช่วยบรรเทาอาการ

“ผมพยายามกลับมาฟิตเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ในสถานการณ์ตอนนั้นมันเป็นไปไม่ได้” โคนาเต้กล่าว “ผมทำเพราะทีมต้องการผม และผมพร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อทีม รวมถึงการยอมเจ็บเพื่อลงสนาม”

“ตอนนี้หัวเข่าของผมยังไม่หายดีเต็มร้อย แต่ผมรู้สึกดีขึ้นทุกวัน ผมยังเจ็บอยู่บ้าง แต่ด้วยยาแก้ปวด ผมสามารถลงเล่นได้”


พร้อมทุ่มเทเพื่อสโมสร

โคนาเต้ยอมรับว่าเขาต้องจัดการกับความเจ็บปวดในช่วงแรกของการกลับมา แต่ไม่ได้ปล่อยให้สิ่งนี้เป็นอุปสรรคต่อความทุ่มเทในสนาม
“ผมไม่ได้คิดถึงอาการเจ็บของตัวเองมากนัก ตอนแรกผมยังเจ็บอยู่ แต่ทุกอย่างดีขึ้นเรื่อยๆ ผมแค่ต้องการลงสนามเพื่อช่วยทีม”

“เมื่อเห็นโจโกเมซเจ็บ ผมรู้ทันทีว่าผมต้องเร่งกลับมาช่วยทีม แม้ตัวเองจะยังไม่ฟิตเต็มร้อยก็ตาม”


เสียสละเพื่อแฟนบอล

โคนาเต้ยังกล่าวถึงความสำคัญของการต่อสู้เพื่อสโมสรและแฟนบอลว่า
“ทุกคนในทีมพร้อมที่จะเสียสละเพื่อสโมสรแห่งนี้ รวมถึงผมด้วย เราทำทุกอย่างเพราะอยากให้แฟนบอลมีความสุข การได้ช่วยทีมแม้เพียงเล็กน้อยคือสิ่งสำคัญสำหรับผม”

“ในท้ายที่สุด การได้ลงเล่นและทำเพื่อทีมทำให้ผมรู้สึกคุ้มค่า แม้ว่าจะต้องเผชิญกับความเจ็บปวดบ้างก็ตาม”

โคนาเต้ยังยืนยันว่าเขาใกล้จะกลับมาฟิตเต็มร้อยในเร็วๆ นี้ พร้อมตั้งเป้าช่วยลิเวอร์พูลไล่ล่าความสำเร็จในช่วงที่เหลือของฤดูกาล 🎯⚽

อาร์เซน่อลโพสต์ภาพมอบเสื้อเบอร์ 27 ให้ “ลิซ่า”

0

สโมสรฟุตบอลหญิงอาร์เซน่อลได้แชร์ภาพสุดประทับใจผ่านโซเชียลมีเดีย เมื่อ ลีอาห์ วิลเลียมสัน กัปตันทีมฟุตบอลหญิง มอบเสื้อแข่งพร้อมชื่อ “LISA” และหมายเลข 27 ให้กับ ลิซ่า ลลิษา มโนบาล ซูเปอร์สตาร์ระดับโลกชาวไทย

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนเกม “นอร์ธลอนดอน ดาร์บี้” ระหว่าง อาร์เซน่อล และ ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ ที่สนามเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม เมื่อวันที่ 15 มกราคมที่ผ่านมา โดยโพสต์ดังกล่าวมาพร้อมแคปชันที่กล่าวว่า
“เมื่อสองโลกมาบรรจบกัน ลิซ่าและลีอาห์ภายใต้แสงไฟแห่งชัยชนะของดาร์บี้ลอนดอนเหนือ”


ความพิเศษของหมายเลข 27

หมายเลข 27 ที่ปรากฏบนเสื้อเป็นตัวเลขพิเศษที่ตรงกับวันเกิดของลิซ่าในวันที่ 27 มีนาคม 1997 ซึ่งแสดงถึงความตั้งใจของสโมสรในการมอบของที่ระลึกให้เหมาะสมกับตัวตนของซูเปอร์สตาร์ชาวไทย


กิจกรรมพิเศษในสนาม

กิจกรรมดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญที่จัดขึ้นโดย Guinness Korea แบรนด์เครื่องดื่มชื่อดังของเกาหลีใต้ ซึ่งได้ร่วมงานกับลิซ่าในฐานะ global ambassador ก่อนเกมการแข่งขัน ลิซ่าได้รับเกียรติลงสนามเพื่อทำพิธีโยนเหรียญเลือกฝั่งให้กับผู้ตัดสิน ไซมอน ฮูเปอร์ รวมถึงส่งมอบเหรียญให้กัปตันทั้งสองทีม ก่อนจะรับคืนเป็นที่ระลึก


ไม่ใช่ครั้งแรกของลิซ่ากับวงการฟุตบอล

ก่อนหน้านี้ ลิซ่าเคยร่วมเชียร์เกมฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือกโซนเอเชีย รอบที่ 2 ในการแข่งขันที่ทีมชาติไทยพบกับเกาหลีใต้ ณ สนามราชมังคลากีฬาสถานเมื่อปีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นถึงความสนใจในกีฬาฟุตบอลของเธอ

เหตุการณ์นี้ไม่เพียงสร้างความประทับใจให้แฟนบอลเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงความเชื่อมโยงระหว่างวงการฟุตบอลและความเป็น global icon ของลิซ่าอย่างชัดเจน 💫⚽

10 กองกลางตัวรุกยอดเยี่ยมในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก

0

บทความนี้ได้รวบรวมและจัดอันดับสุดยอดกองกลางตัวรุกที่ทำผลงานยอดเยี่ยมที่สุดในพรีเมียร์ลีก นับตั้งแต่การแข่งขันเริ่มต้นขึ้นเมื่อฤดูกาล 1992-93 โดยการจัดอันดับพิจารณาจาก สถิติส่วนตัว (ประตูและแอสซิสต์), ระยะเวลาการค้าแข้งในลีก, ผลงานที่โดดเด่นในแต่ละฤดูกาล และ อิทธิพลที่นักเตะมีต่อทีม

Givemesport สื่อดังของอังกฤษ ได้ทำการวิเคราะห์และเผยรายชื่อ 10 กองกลางตัวรุกที่ถือว่ายิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก ดังนี้:


1. เควิน เดอ บรอยน์ (เชลซี, แมนเชสเตอร์ ซิตี้)*

  • ผลงาน: ลงเล่น 274 นัด ยิง 70 ประตู และทำ 118 แอสซิสต์
  • เดอ บรอยน์ โดดเด่นเรื่องการจ่ายบอลอันแม่นยำและการสร้างสรรค์เกมรุกที่ไม่มีใครเทียบ

2. ดาบิด ซิลบา (แมนเชสเตอร์ ซิตี้)

  • ผลงาน: ลงเล่น 309 นัด ยิง 60 ประตู และทำ 95 แอสซิสต์
  • เพลย์เมกเกอร์ที่มีวิสัยทัศน์เฉียบคม พาทีมคว้าแชมป์ลีกถึง 4 สมัย

3. แฟรงค์ แลมพาร์ด (เวสต์แฮม, เชลซี, แมนเชสเตอร์ ซิตี้)

  • ผลงาน: ลงเล่น 611 นัด ยิง 177 ประตู และทำ 114 แอสซิสต์
  • เป็นกองกลางที่ยิงประตูสูงสุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก

4. พอล สโคลส์ (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด)

  • ผลงาน: ลงเล่น 499 นัด ยิง 107 ประตู และทำ 61 แอสซิสต์
  • จุดเด่นของเขาคือการจ่ายบอลยาวและการยิงไกลที่แม่นยำ

5. เชสก์ ฟาเบรกาส (อาร์เซน่อล, เชลซี)

  • ผลงาน: ลงเล่น 350 นัด ยิง 50 ประตู และทำ 117 แอสซิสต์
  • ฟาเบรกาสเป็นหนึ่งในมิดฟิลด์ที่จ่ายบอลเพื่อแอสซิสต์ได้มากที่สุด

6. โจ โคล (เวสต์แฮม, เชลซี, ลิเวอร์พูล, แอสตัน วิลล่า)

  • ผลงาน: ลงเล่น 379 นัด ยิง 46 ประตู และทำ 38 แอสซิสต์
  • นักเตะที่มีทักษะการเลี้ยงบอลอันน่าทึ่งและสร้างสรรค์เกมได้หลากหลาย

7. คริสเตียน อีริคเซ่น (สเปอร์ส, เบรนท์ฟอร์ด, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด)*

  • ผลงาน: ลงเล่น 298 นัด ยิง 54 ประตู และทำ 79 แอสซิสต์
  • เพลย์เมกเกอร์ชาวเดนมาร์กที่ขึ้นชื่อเรื่องการเตะฟรีคิกและการจ่ายบอลอันแม่นยำ

8. ฆวน มาต้า (เชลซี, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด)

  • ผลงาน: ลงเล่น 278 นัด ยิง 52 ประตู และทำ 55 แอสซิสต์
  • มาต้าเป็นนักเตะที่มีเทคนิคและความคิดสร้างสรรค์ในเกมรุกสูง

9. เมซุต โอซิล (อาร์เซน่อล)

  • ผลงาน: ลงเล่น 184 นัด ยิง 33 ประตู และทำ 55 แอสซิสต์
  • เพลย์เมกเกอร์ผู้เชี่ยวชาญในการผ่านบอลที่ทำให้แนวรับฝ่ายตรงข้ามปั่นป่วน

10. ซานติ กาซอร์ล่า (อาร์เซน่อล)

  • ผลงาน: ลงเล่น 129 นัด ยิง 25 ประตู และทำ 35 แอสซิสต์
  • กาซอร์ล่าคือมิดฟิลด์ที่มีทักษะครบเครื่อง ทั้งการสร้างเกมและยิงประตู

หมายเหตุ:

  • ผู้เล่นที่ยังคงเล่นในพรีเมียร์ลีก เช่น เควิน เดอ บรอยน์ และคริสเตียน อีริคเซ่น อาจมีการเปลี่ยนแปลงสถิติในอนาคต
  • รายชื่อนี้สะท้อนให้เห็นถึงคุณภาพและความสำคัญของนักเตะแต่ละคนที่มีต่อประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก

ห้ามพลาด!