Home Blog Page 39

“เอแดร์ซอน” ผู้รักษาประตูที่แอสซิสต์สูงสุดในพรีเมียร์ลีก

0

เอแดร์ซอน ผู้รักษาประตูมือหนึ่งของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จารึกชื่อในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก ด้วยการเป็นผู้รักษาประตูที่ทำแอสซิสต์ได้มากที่สุด หลังจากทำแอสซิสต์สำคัญในเกมที่ “เรือใบสีฟ้า” เปิดบ้านถล่ม นิวคาสเซิ่ล 4-0


จอมเปิดบอลแม่นยำ เปลี่ยนเกมเป็นประตู

ในเกมดังกล่าว เอแดร์ซอน วัย 31 ปี โชว์ศักยภาพการเปิดบอลอันแม่นยำด้วยการจ่ายบอลยาวให้ โอมาร์ มาร์มูช หลุดเข้าไปทำประตูเบิกร่องที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม ก่อนที่แนวรุกชาวอียิปต์จะกดแฮตทริกพา แมนฯ ซิตี้ คว้าชัยไปอย่างขาดลอย

แอสซิสต์นี้ทำให้ เอแดร์ซอน สร้างสถิติใหม่แซงหน้า พอล โรบินสัน อดีตนายทวารทีมชาติอังกฤษ กลายเป็นผู้รักษาประตูที่ทำแอสซิสต์มากที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก โดยยอดรวมของเขาเพิ่มขึ้นเป็น 6 แอสซิสต์ เหนือกว่า โรบินสัน ที่เคยทำไว้ 5 ครั้ง สมัยเฝ้าเสาให้ ลีดส์ ยูไนเต็ด, ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์, แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส และ เบิร์นลีย์


ผู้รักษาประตูคนแรกที่ทำ 3 แอสซิสต์ในฤดูกาลเดียว

ฤดูกาล 2024-25 ถือเป็นปีที่ เอแดร์ซอน โชว์ฟอร์มเด่นในการเปิดบอลยาวเพื่อเปลี่ยนเป็นโอกาสทำประตู โดยเขากลายเป็น ผู้รักษาประตูคนแรกในพรีเมียร์ลีกที่ทำ 3 แอสซิสต์ได้ในฤดูกาลเดียว

หากนับรวมทุกรายการ เจ้าตัวทำไปแล้ว 7 แอสซิสต์ โดยแบ่งเป็น 6 ครั้งในพรีเมียร์ลีก และอีก 1 ครั้งในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ซึ่งหนึ่งในแอสซิสต์ที่น่าจดจำที่สุดคือ การจ่ายบอลให้ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ยิงประตูในเกมพบ ชาลเก้ รอบ 16 ทีมสุดท้ายของแชมเปี้ยนส์ลีก ฤดูกาล 2018-19


ความแม่นยำและการใช้สนามให้เป็นประโยชน์

ที่น่าสนใจคือ ทั้ง 6 แอสซิสต์ของเอแดร์ซอนในพรีเมียร์ลีก ล้วนเกิดขึ้นในเกมเหย้า ซึ่งสะท้อนถึงการใช้ประโยชน์จากพื้นที่และขนาดของสนาม เอติฮัด สเตเดี้ยม ในการวางบอลยาวฉีกแนวรับคู่แข่ง

แม้ว่า เอแดร์ซอน จะขึ้นชื่อเรื่อง การจ่ายบอลสั้นที่แม่นยำ ในระบบของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า แต่เขายังมี วิสัยทัศน์และเทคนิคในการเปิดบอลยาว ที่สร้างโอกาสทำประตูได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถือเป็นหนึ่งในผู้รักษาประตูที่มีทักษะครบเครื่องมากที่สุดในฟุตบอลยุคปัจจุบัน

ด้วยคุณสมบัติที่ครบครันทั้ง การป้องกันประตู, การครองบอล และการจ่ายบอล เอแดร์ซอน ยังคงเป็นฟันเฟืองสำคัญของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ช่วยให้ทีมเล่นเกมรุกได้อย่างไหลลื่น และเพิ่มมิติใหม่ให้กับตำแหน่งผู้รักษาประตูในยุคสมัยใหม่

ใบแดง เบลลิงแฮม เกินกว่าเหตุ!

0

อันเชลอตติ เดือด! มองใบแดง เบลลิงแฮม เกินกว่าเหตุ เกมเจ๊า โอซาซูน่า

คาร์โล อันเชลอตติ กุนซือ เรอัล มาดริด ออกโรงวิจารณ์การตัดสิน หลัง จู๊ด เบลลิงแฮม โดนใบแดงในเกมเสมอ โอซาซูน่า 1-1 โดยยืนยันว่ากองกลางชาวอังกฤษไม่ได้พูดจาดูหมิ่นกรรมการ

ศึก ลา ลีกา สเปน เมื่อคืนวันเสาร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา “ราชันชุดขาว” ต้องเผชิญสถานการณ์ที่ยากลำบาก แม้ คีลิยัน เอ็มบัปเป้ จะยิงให้ทีมขึ้นนำตั้งแต่นาทีที่ 15 แต่ช่วงท้ายครึ่งแรก พวกเขากลับต้องเหลือผู้เล่นเพียง 10 คน หลัง เบลลิงแฮม โดนใบแดงจากคำพูดที่ถูกมองว่าเป็นการดูถูกผู้ตัดสิน

โอซาซูน่า อาศัยความได้เปรียบเรื่องตัวผู้เล่น และมาตามตีเสมอได้สำเร็จในนาทีที่ 58 จากลูกจุดโทษของ อันเต บูดิมีร์ ส่งผลให้ เรอัล มาดริด เก็บเพิ่มเพียงแต้มเดียวจากเกมนี้

หลังจบการแข่งขัน อันเชลอตติ แสดงความไม่พอใจอย่างชัดเจน โดยระบุว่าผู้ตัดสินตีความคำพูดของ เบลลิงแฮม ผิดพลาดจนเป็นเหตุให้แข้งวัย 21 ปี ถูกไล่ออก

“นี่คือการตัดสินที่เข้มงวดเกินไป ผมเชื่อว่าผู้ตัดสินไม่เข้าใจบริบทของภาษาอังกฤษดีพอ เบลลิงแฮมแค่พูดว่า ‘f*ck off’ ซึ่งในความหมายจริงๆ มันไม่ได้เป็นการดูถูก แต่เหมือนเป็นการบอกให้ปล่อยเขาไปเท่านั้น แต่กรรมการกลับมองว่าเป็นคำหยาบคายและแจกใบแดง ซึ่งมันรุนแรงเกินไป” กุนซือชาวอิตาลีกล่าว

ด้าน เบลลิงแฮม เองก็ออกมายืนยันว่าตนไม่ได้ตั้งใจดูถูกผู้ตัดสินแต่อย่างใด

“ผมไม่ได้สบถใส่เขาโดยตรง และผมหันหลังให้แล้วตอนที่พูดออกไป โชคดีที่มีภาพวิดีโอที่แสดงให้เห็นว่ามันเป็นการเข้าใจผิด ผมได้ขอโทษเพื่อนร่วมทีมไปแล้ว เพราะมันส่งผลกระทบต่อเกม”

ผลจากการเสมอในเกมนี้ทำให้ เรอัล มาดริด ขยับไปมี 51 คะแนนจาก 24 นัด นำ แอตเลติโก มาดริด อันดับสองอยู่ 2 แต้ม ขณะที่ทีมตราหมีมีคิวลงสนามดึกกว่าในเกมพบ เซลตา บีโก ซึ่งอาจส่งผลต่อสถานการณ์ลุ้นแชมป์ในช่วงโค้งสุดท้ายของฤดูกาล

แฟนสเปอร์สเตรียมประท้วงขับไล่ “เลวี่”

0

กลุ่มแฟนบอล ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ วางแผนประท้วงใหญ่ เรียกร้องให้ ดาเนี่ยล เลวี่ ก้าวลงจากตำแหน่งประธานสโมสร ก่อนเกมที่ทีมจะเปิดบ้านพบกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดยพวกเขามองว่าผู้บริหารให้ความสำคัญกับผลกำไรมากกว่าความสำเร็จของสโมสร


ความไม่พอใจที่สะสมมายาวนาน

ดาเนี่ยล เลวี่ ดำรงตำแหน่งประธานสเปอร์สมานานกว่า 24 ปี และแม้ว่าสโมสรจะเติบโตขึ้นอย่างมากในเชิงธุรกิจและรายได้ แต่ความสำเร็จในสนามกลับสวนทางอย่างสิ้นเชิง นับตั้งแต่คว้าแชมป์ ลีก คัพ ฤดูกาล 2007/08 สโมสรไม่สามารถคว้าแชมป์ใดๆ ได้เลยเป็นเวลากว่า 17 ปี

แม้ทีมจะเคยมีโอกาสลุ้นแชมป์ โดยเฉพาะในปี 2019 ที่ทะลุถึงรอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แต่สุดท้ายก็พลาดไป ขณะที่อันดับในพรีเมียร์ลีกก็ไม่เคยติด ท็อป 3 เลยนับตั้งแต่ปี 2018


ปัญหาการบริหารและค่าใช้จ่ายแฟนบอล

แม้ผลงานในสนามจะซบเซา แต่ ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ กลับประสบความสำเร็จอย่างมากในด้านรายได้ ฤดูกาลที่แล้วพวกเขากวาดรายได้ถึง 615 ล้านปอนด์ และเป็นหนึ่งในสโมสรที่ทำกำไรสูงสุดของโลก อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายของแฟนบอลกลับเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยตั๋วเข้าชมเกมสำหรับผู้ใหญ่มีราคา 856 ปอนด์ ซึ่งแพงเป็นอันดับ 2 ของยุโรป

ปัจจัยเหล่านี้ทำให้แฟนบอลจำนวนมากเริ่มหมดความอดทนกับนโยบายของ เลวี่ และกลุ่มแฟนบอล Change for Tottenham ได้ออกมาเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านแนวทางการบริหารที่เน้นผลกำไรมากกว่าความสำเร็จในสนาม


แผนการประท้วงและข้อเรียกร้อง

แฟนบอลจำนวนหลายร้อยคนคาดว่าจะเข้าร่วมการประท้วงครั้งนี้ โดยพวกเขาจะรวมตัวกันก่อนเริ่มการแข่งขัน และแสดงจุดยืนด้วยสโลแกน “L£VY OUT” และ “Profit before Glory” (กำไรก่อนเกียรติยศ) พร้อมเดินขบวนไปยังสนาม ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ สเตเดี้ยม

หลังจากนั้น กลุ่มแฟนบอลที่เข้าชมเกมจะทำการ “นั่งประท้วง” (sit-in protest) ตลอดการแข่งขันบริเวณอัฒจันทร์ฝั่งใต้ เพื่อแสดงออกถึงความไม่พอใจที่สโมสรมุ่งเน้นธุรกิจมากกว่าการแข่งขัน


สถานการณ์ปัจจุบันของสเปอร์ส

ผลงานของ ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ ฤดูกาลนี้ก็ไม่เป็นที่น่าพอใจ โดยพวกเขาหล่นไปอยู่อันดับ 14 ของตารางพรีเมียร์ลีก และตกรอบทั้ง เอฟเอ คัพ และ คาราบาว คัพ ไปเรียบร้อยแล้ว ส่งผลให้แฟนบอลยิ่งหมดความอดทนและต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงในการบริหารทีม

การประท้วงครั้งนี้จะส่งแรงกดดันให้บอร์ดบริหารมากเพียงใด และจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงหรือไม่ คงต้องติดตามกันต่อไป

อาร์เซน่อล บุกเชือด เลสเตอร์ 2-0 ไล่จี้จ่าฝูงเหลือ 4 แต้ม

0

อาร์เซน่อล มาได้สองประตูในช่วงท้ายเกม บุกเอาชนะ เลสเตอร์ ซิตี้ 2-0 เก็บสามแต้มสำคัญไล่จี้ ลิเวอร์พูล เหลือ 4 คะแนน แม้จะแข่งมากกว่าหนึ่งนัดก็ตาม


รูปเกมครึ่งแรก: อาร์เซน่อลครองบอล แต่ยังไร้สกอร์

รุด ฟาน นิสเตลรอย กุนซือของ เลสเตอร์ ซิตี้ กำลังเผชิญปัญหาฟอร์มการเล่นในบ้านอย่างหนัก โดยก่อนเกมนี้ทีมไม่ชนะในลีกมา 4 นัดติด และยังยิงประตูในบ้านไม่ได้เลย เกมนี้มีการปรับทัพบางจุด โดย เจมี่ วาร์ดี้ และ วิคตอร์ คริสเตียนเซ่น ได้รับโอกาสออกสตาร์ตแทน พัตสัน ดาก้า และ ลุค โธมัส

ทางฝั่ง มิเกล อาร์เตต้า กำลังพา อาร์เซน่อล ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่แพ้ในลีกมา 14 นัดติดต่อกัน โดยนัดล่าสุดเพิ่งเปิดบ้านถล่ม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 5-1 อย่างไรก็ตาม ปัญหาผู้เล่นแนวรุกบาดเจ็บทำให้ อีธาน วาเนรี่ ได้รับโอกาสลงตัวจริงร่วมกับ เลอันโดร ทรอสซาร์ และ ราฮีม สเตอร์ลิง

เกมเริ่มต้นขึ้นโดย อาร์เซน่อล เป็นฝ่ายครองบอลได้มากกว่า และมีโอกาสทักทายในนาทีที่ 9 จากจังหวะที่ มาร์ติน โอเดการ์ด จ่ายบอลทะลุให้ เลอันโดร ทรอสซาร์ ได้ยิงในเขตโทษ แต่บอลไปเข้ามือของ แมดส์ เฮอร์มันเซ่น อย่างไรก็ตาม จังหวะนี้ถูกจับเป็นลูกล้ำหน้าก่อนแล้ว

เลสเตอร์ มีโอกาสบ้างในนาทีที่ 10 เมื่อ วิลเฟร็ด เอ็นดิดี้ ได้ลองยิงไกลจากนอกเขตโทษ แต่บอลตรงตัว ดาบิด ราย่า

แม้ว่า อาร์เซน่อล จะเป็นฝ่ายครองเกมได้เหนือกว่า แต่ยังไม่สามารถเจาะแนวรับเจ้าบ้านได้ เกมผ่าน 35 นาที ทีมของ อาร์เตต้า เพิ่งมาได้ลูกเตะมุมแรกของเกม

ท้ายครึ่งแรก เลสเตอร์ มีลุ้นขึ้นนำจากจังหวะโหม่งของ เอ็นดิดี้ ในช่วงทดเวลาเจ็บ แต่บอลหลุดกรอบไปอย่างน่าเสียดาย จบ 45 นาทีแรก สกอร์ยัง 0-0


ครึ่งหลัง: อาร์เซน่อลเร่งเครื่อง กดสองประตูช่วงท้ายเกม

กลับมาครึ่งหลัง อาร์เซน่อล เดินเกมรุกเข้าใส่ต่อเนื่อง แต่กว่าจะได้ประตูขึ้นนำต้องรอถึงนาทีที่ 81 จากจังหวะที่ อีธาน วาเนรี่ เปิดบอลจากฝั่งขวาเข้ามาให้ กาเบรียล มากัลเญส โฉบมาโหม่งเข้าประตูไปอย่างเด็ดขาด ส่งให้ เดอะ กันเนอร์ส ออกนำ 1-0

จากนั้นนาทีที่ 87 ทีมเยือนมาได้ประตูปิดกล่องเมื่อ เลอันโดร ทรอสซาร์ เปิดบอลจากริมเส้นฝั่งซ้ายมาให้ มิเกล เมอริโน่ ตัวสำรอง ยิงจ่อๆ ที่เสาสองเข้าไป อาร์เซน่อลนำ 2-0 และรักษาสกอร์ไว้ได้จนจบเกม


ตารางคะแนนล่าสุด: อาร์เซน่อลไล่บี้ลิเวอร์พูลต่อ ส่วนเลสเตอร์ต้องดิ้นรนหนีตกชั้น

ชัยชนะนัดนี้ทำให้ อาร์เซน่อล เก็บเพิ่มเป็น 53 คะแนนจาก 25 นัด ตามหลังจ่าฝูง ลิเวอร์พูล เหลือเพียง 4 คะแนน แม้ว่าพวกเขาจะลงเล่นมากกว่าอยู่หนึ่งนัดก็ตาม

ส่วน เลสเตอร์ ซิตี้ ยังคงมี 17 แต้ม เท่าเดิม อยู่อันดับ 18 ของตาราง ต้องลุ้นหนีตกชั้นต่อไป


รายชื่อ 11 ตัวจริงของทั้งสองทีม

เลสเตอร์ ซิตี้ (4-2-3-1)
ผู้รักษาประตู: แมดส์ เฮอร์มันเซ่น
กองหลัง: เจมส์ จัสติน, เวาต์ ฟาส, คาเล็บ โอโคลี่, วิคตอร์ คริสเตียนเซ่น
กองกลาง: วิลเฟร็ด เอ็นดิดี้, บูบาการี่ ซูมาเร่
แนวรุก: บ็อบบี้ ดีคอร์โดวา-รีด, บิลาล เอล คานนุสส์, จอร์แดน อายิว
กองหน้า: เจมี่ วาร์ดี้

อาร์เซน่อล (4-3-3)
ผู้รักษาประตู: ดาบิด ราย่า
กองหลัง: ยูร์เรียน ทิมเบอร์, วิลเลี่ยม ซาลิบา, กาเบรียล มากัลเญส, ไมลส์ ลูอิส-สเคลลี่
กองกลาง: มาร์ติน โอเดการ์ด, โธมัส ปาร์เตย์, เดแคลน ไรซ์
แนวรุก: อีธาน วาเนรี่, เลอันโดร ทรอสซาร์, ราฮีม สเตอร์ลิง

ซาก้าอาจต้องพักเพิ่มอีก 8 สัปดาห์ หลังฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ

0

บูกาโย่ ซาก้า ปีกตัวเก่งของ อาร์เซน่อล อาจต้องใช้เวลาพักฟื้นนานกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยมีรายงานว่าเขาอาจต้องพักรักษาตัว เพิ่มอีก 8 สัปดาห์ หลังเข้ารับการผ่าตัดอาการบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อต้นขาด้านหลัง

อาการบาดเจ็บที่ส่งผลกระทบต่อฤดูกาลของซาก้า

แข้งวัย 23 ปี ได้รับบาดเจ็บเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม ในเกมที่ อาร์เซน่อล บุกถล่ม คริสตัล พาเลซ 5-1 ที่ เซลเฮิร์สต์ พาร์ค ก่อนเข้ารับการผ่าตัดเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม โดยตอนแรกมีการคาดการณ์ว่าเขาจะต้องพักฟื้นเป็นระยะเวลา 10-12 สัปดาห์

อย่างไรก็ตาม The Sun รายงานว่า อาการบาดเจ็บของซาก้าอาจรุนแรงกว่าที่คาดไว้ ทำให้เขามีโอกาสกลับมาลงสนามได้เร็วที่สุดในช่วง กลางเดือนเมษายน 2025 ซึ่งถือเป็นข่าวร้ายสำหรับทีมของ มิเกล อาร์เตต้า ที่กำลังลุ้นแชมป์ทั้ง พรีเมียร์ลีก และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก

ซาก้าเริ่มฟื้นตัว แต่ยังต้องใช้เวลา

แม้ว่าจะยังไม่สามารถกำหนดวันคืนสนามที่แน่ชัด แต่มีรายงานว่าซาก้าเริ่มกลับมาฝึกซ้อมเบาๆ ได้แล้ว เขาเดินทางไปยัง ดูไบ พร้อมกับทีมระหว่างแคมป์เก็บตัวเพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกาย โดยคาดว่าเขาจะยังไม่พร้อมสำหรับเกมที่ อาร์เซน่อล มีคิวบุกเยือน เลสเตอร์ ซิตี้ สุดสัปดาห์นี้

อาร์เซน่อลเจอปัญหาผู้เล่นบาดเจ็บกระทบการลุ้นแชมป์

การขาดหายไปของซาก้าถือเป็น ปัญหาใหญ่ของอาร์เซน่อล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่พวกเขากำลังอยู่ในการแข่งขันลุ้นแชมป์ พรีเมียร์ลีก และ แชมเปี้ยนส์ ลีก โดยปัจจุบัน เดอะ กันเนอร์ส มีแต้มตามหลังจ่าฝูง ลิเวอร์พูล อยู่ 7 คะแนน

มิเกล อาร์เตต้า ต้องหาทางปรับแท็กติกเพื่อรับมือกับสถานการณ์นี้ เนื่องจากแนวรุกของทีมกำลังเผชิญปัญหาอาการบาดเจ็บของผู้เล่นหลายราย ซึ่งอาจส่งผลต่อโอกาสการลุ้นแชมป์ของสโมสรในช่วงที่เหลือของฤดูกาล

อดีตแข้งเยาวชน U17 จีนสมองตาย บาดเจ็บรุนแรงช่วงซ้อมที่สเปน

0

เกิดเหตุสะเทือนใจในวงการฟุตบอลเยาวชน กัว เจียซวน แข้งวัย 18 ปี อดีตนักเตะอคาเดมี่ บาเยิร์น มิวนิค และอดีตผู้เล่นทีมชาติจีนชุด U17 ถูกวินิจฉัยว่า สมองตาย หลังจากได้รับบาดเจ็บหนักที่ศีรษะในช่วงฝึกซ้อมกับทีมในประเทศสเปน

จังหวะปะทะที่เปลี่ยนชีวิต

รายงานจาก เดลี่ เมล์ ระบุว่า กัว เจียซวน ซึ่งปัจจุบันเล่นให้กับ ปักกิ่ง กั๋วอัน ประสบอุบัติเหตุระหว่างเกมอุ่นเครื่องกับ อัลโกเบนดาส สโมสรจากสเปน ในช่วงแคมป์เก็บตัวเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์

ในเหตุการณ์ดังกล่าว กัวได้รับการกระแทกอย่างรุนแรงที่ศีรษะด้วยหัวเข่าของผู้เล่นฝ่ายตรงข้าม ส่งผลให้เกิด ภาวะเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมอง แพทย์ที่เมืองมาดริดวินิจฉัยว่า สมองของเขาได้รับความเสียหายขั้นรุนแรงจนไม่สามารถฟื้นตัวได้

ครอบครัวไม่ยอมแพ้ แม้โอกาสรอดริบหรี่

พี่ชายของกัวเปิดเผยผ่านโซเชียลมีเดียของจีนว่า “แพทย์แจ้งว่าเขามีเลือดออกในสมองอย่างหนัก และโอกาสรอดชีวิตแทบไม่มี โรงพยาบาลกำลังเตรียมถอดเครื่องช่วยหายใจ”

อย่างไรก็ตาม พ่อของกัวปฏิเสธคำแนะนำของแพทย์ ที่จะยุติการรักษา โดยเลือกให้มีการ ส่งตัวลูกชายกลับประเทศจีน เพื่อรับการดูแลเพิ่มเติม

ปัญหาการสนับสนุนจากต้นสังกัด

หนังสือพิมพ์ South China Morning Post รายงานว่าครอบครัวของกัวกำลังเรียกร้องให้ สมาคมฟุตบอลปักกิ่ง และต้นสังกัด ปักกิ่ง กั๋วอัน รับผิดชอบค่าใช้จ่าย เนื่องจากไม่มีการทำประกันสุขภาพและการเดินทางให้กับนักเตะ ขณะที่สโมสรออกแถลงการณ์ว่า จะช่วยอำนวยความสะดวกในการส่งตัวกลับจีน

ด้าน อัลโกเบนดาส สโมสรคู่แข่งในเกมดังกล่าว ได้แสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์และส่งกำลังใจให้ครอบครัวของนักเตะ

ดาวรุ่งผู้มีอนาคตไกลที่ต้องพบชะตากรรมอันโหดร้าย

กัว เจียซวน เคยเป็นหนึ่งในดาวรุ่งที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกซ้อมกับ บาเยิร์น มิวนิค ในปี 2023 ผ่านโครงการ Bayern Munich’s World Squad ซึ่งเป็นโปรแกรมพัฒนาเยาวชนระดับโลกของทีมเสือใต้ และยังเคยติดทีมชาติจีนชุด U17

เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความเสี่ยงในวงการฟุตบอลเยาวชน และจุดประกายคำถามเกี่ยวกับ มาตรฐานการคุ้มครองสวัสดิการนักเตะเยาวชนในการแข่งขันและฝึกซ้อมในต่างแดน ซึ่งยังคงต้องได้รับการพัฒนาให้รัดกุมมากขึ้น

“แมนฯ ยูไนเต็ด” เตรียมปลดพนักงานเพิ่ม ลดภาระการเงิน

0

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เตรียม ปลดพนักงานเพิ่ม เป็นส่วนหนึ่งของแผนปรับโครงสร้างองค์กรของ เซอร์ จิม แรตคลิฟฟ์ และกลุ่ม INEOS ซึ่งมีเป้าหมายในการลดต้นทุนและบริหารการเงินของสโมสรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

หลังจาก แรตคลิฟฟ์ เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ แมนฯ ยูไนเต็ด เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2024 สโมสรได้ดำเนินมาตรการลดต้นทุนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งก่อนหน้านี้มี พนักงานราว 250 คนถูกเลิกจ้างไปแล้ว ล่าสุด มีรายงานว่า แมนฯ ยูไนเต็ด อาจปลดพนักงานเพิ่มเติมอีก 100-200 คน

เหตุผลเบื้องหลังแผนปลดพนักงาน

สื่ออังกฤษ (Daily Mail) รายงานว่า การปรับลดพนักงานครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของแนวทาง เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและลดภาระค่าใช้จ่าย เพื่อให้สอดคล้องกับการลงทุนในตลาดซื้อขายนักเตะช่วงซัมเมอร์นี้ โดยเฉพาะการสนับสนุน รูเบน อโมริม กุนซือของทีม รวมถึงการวางแผนสร้างสนามใหม่

ปัจจุบัน แมนฯ ยูไนเต็ด เป็นสโมสรที่มี จำนวนพนักงานมากที่สุดในพรีเมียร์ลีก โดยมีเจ้าหน้าที่ราว 1,112 คน ขณะที่คู่แข่งร่วมเมืองอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มีพนักงานเพียง 520 คน เท่านั้น

ยังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการ

แม้จะมีรายงานว่าแผนการปลดพนักงานจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่มีการแจ้งอย่างเป็นทางการจากสโมสร อย่างไรก็ตาม การปรับโครงสร้างครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า แรตคลิฟฟ์ และ INEOS กำลังเดินหน้าปรับปรุงสโมสรทั้งในและนอกสนาม เพื่อให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กลับมาแข็งแกร่งอีกครั้งทั้งด้านกีฬาและการเงิน

“ฟาน ไดจ์ค” ผิดหวังทีม ตั้งคำถามการทำหน้าที่ของผู้ตัดสิน

0

เฟอร์จิล ฟาน ไดจ์ค กัปตันทีมลิเวอร์พูล แสดงความผิดหวังที่ทีมทำได้เพียง เสมอ 2-2 กับ เอฟเวอร์ตัน หลังจากถูกตีเสมอในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ พร้อมตั้งคำถามเกี่ยวกับการตัดสินของผู้ตัดสินที่อาจมีส่วนต่อรูปเกมช่วงท้าย

หลังจบเกมที่ กูดิสัน พาร์ก ซึ่งเป็นศึกเมอร์ซีย์ไซด์ดาร์บี้ ลิเวอร์พูลเกือบคว้าชัยได้จากการนำ 2-1 แต่สุดท้ายถูก เจมส์ ทาร์คอฟสกี้ โขกตีเสมอในนาที 90+8 นอกจากนี้ เคอร์ติส โจนส์ ยังโดนใบแดงหลังมีปัญหากับ อับดูลาย ดูคูเร่ ขณะที่ อาร์เน่ สล็อต กุนซือหงส์แดงก็ถูกไล่ออกจากสนามเช่นกัน

ฟาน ไดจ์ค: “เสียประตูท้ายเกมน่าผิดหวัง แต่ต้องเดินหน้าต่อ”

เซ็นเตอร์แบ็กวัย 33 ปี ยอมรับว่า แม้ผลเสมอจะส่งผลกระทบต่อทีม แต่ลิเวอร์พูลต้องรีบกลับมาโฟกัสกับโปรแกรมหนักที่รออยู่

“มันเป็นเกมที่ยาก และเสียประตูช่วงท้ายแบบนี้เป็นเรื่องที่น่าผิดหวังมาก เราเห็นพวกเขาฉลองอย่างสุดเหวี่ยง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผลการแข่งขันนี้สำคัญกับพวกเขาแค่ไหน แต่สำหรับเรามันน่าผิดหวังจริงๆ ตอนนี้เราต้องรับมือกับผลการแข่งขันและเตรียมพร้อมสำหรับเกมกับ วูล์ฟส์ ต่อไป”

“เราอยู่ในจุดที่ดีแล้วหลังจากขึ้นนำ 2-1 แต่เรากลับไม่สามารถปิดเกมได้ เราต้องสู้ต่อไป และมันชัดเจนว่าวันนี้เราทำได้ไม่ดีพอที่จะเก็บสามแต้ม”

ตั้งคำถามการตัดสินของ ไมเคิล โอลิเวอร์

ฟาน ไดจ์ค ยังกล่าวถึงเหตุการณ์ช่วงท้ายเกมที่มีการปะทะกันระหว่างนักเตะทั้งสองทีม พร้อมตั้งคำถามเกี่ยวกับการควบคุมสถานการณ์ของ ไมเคิล โอลิเวอร์ ผู้ตัดสินในเกมนี้

“มีการยั่วยุเกิดขึ้น และทุกคนในสนามก็เห็นชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น เราพยายามจัดการกับมันในฐานะทีม แต่สุดท้ายมันก็กลายเป็นเหตุการณ์วุ่นวาย มันไม่ใช่หน้าที่ของผมที่จะจัดการกับสถานการณ์แบบนี้ แต่นั่นคือสิ่งที่กรรมการต้องรับผิดชอบ และผมไม่แน่ใจว่าเขาควบคุมเกมได้ดีพอหรือเปล่า”

“ต้องโฟกัสที่ตัวเองและเดินหน้าต่อ”

ฟาน ไดจ์ค ย้ำว่าลิเวอร์พูลยังคงอยู่ในเส้นทางลุ้นแชมป์ และต้องไม่เสียสมาธิจากผลการแข่งขันที่น่าผิดหวัง

“เราต้องมุ่งมั่นต่อไปและมองไปข้างหน้า ทุกเกมจากนี้จะเป็นเกมที่ยากจนกว่าจะจบฤดูกาล เราอยู่ในตำแหน่งที่ดีและต้องพยายามเดินหน้าต่อไป”

“แฟนบอลควรโฟกัสที่เรา ไม่ต้องสนใจเสียงรอบข้าง เราจะสู้จนถึงที่สุด และเมื่อฤดูกาลจบลง เราจะมาดูกันว่ามันเพียงพอหรือไม่”

แม้จะพลาดสามแต้มในดาร์บี้แมตช์ แต่ ลิเวอร์พูลยังคงอยู่ในเส้นทางลุ้นแชมป์ โดยพวกเขาจะต้องเตรียมตัวสำหรับเกมถัดไปกับ วูล์ฟแฮมป์ตัน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งบททดสอบสำคัญของทีมในช่วงโค้งสุดท้ายของฤดูกาล

“คอลลิน่า” เสนอเปลี่ยนกฎจุดโทษ ห้ามยิงซ้ำหากพลาด

0

ปิแอร์ลุยจิ คอลลิน่า ประธานคณะกรรมการผู้ตัดสินของฟีฟ่า เสนอแนวคิดใหม่เกี่ยวกับการยิงจุดโทษ โดยต้องการ ห้ามผู้เล่นตามซ้ำ หากยิงไม่เข้า เพื่อเพิ่มความเป็นธรรมให้กับผู้รักษาประตู

อดีตผู้ตัดสินระดับตำนานวัย 65 ปี ซึ่งเคยทำหน้าที่ในนัดชิงชนะเลิศทั้ง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และ ฟุตบอลโลก มองว่ากฎปัจจุบันเอื้อให้ผู้เล่นฝั่งรุกได้เปรียบมากเกินไป และเสนอให้มีการเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างความสมดุลในการแข่งขัน

เหตุผลที่ต้องเปลี่ยนกฎจุดโทษ

คอลลิน่า อธิบายว่า “โดยปกติแล้ว จุดโทษถือเป็นโอกาสทำประตูที่สูงมาก และโดยเฉลี่ยแล้ว มีโอกาสยิงเข้าถึง 75% ตั้งแต่จังหวะแรก แต่ที่สำคัญคือ หากผู้รักษาประตูเซฟไว้ได้ ทีมรุกยังมีโอกาสตามซ้ำ ซึ่งในมุมมองของผม มันเป็นสิ่งที่ควรถูกทบทวน”

ข้อเสนอใหม่: ยิงครั้งเดียวจบเหมือนดวลจุดโทษ

เขาเสนอให้ปรับเปลี่ยนกฎโดยห้ามทีมรุกตามซ้ำ หากยิงไม่เข้าหรือถูกเซฟ ผู้รักษาประตูจะได้เริ่มเกมใหม่ด้วยการตั้งเตะจากเส้นประตู

“ผมได้หารือเรื่องนี้กับ IFAB แล้ว และแนวทางที่ดีที่สุดคือ ให้จุดโทษเป็นโอกาสยิงครั้งเดียว เหมือนการดวลจุดโทษหลังต่อเวลาพิเศษ หากยิงไม่เข้าหรือถูกเซฟ เกมต้องหยุดทันที”

“นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงนี้ยังช่วยลดสถานการณ์ที่นักเตะจำนวนมากเข้าไปปักหลักรอบกรอบเขตโทษเพื่อรอโอกาสซ้ำจังหวะยิงจุดโทษ ซึ่งเป็นภาพที่เราเห็นบ่อยครั้งในเกมฟุตบอล”

ข้อเสนอนี้อาจเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในกฎของฟุตบอล และต้องรอดูว่า IFAB จะพิจารณาแนวคิดนี้อย่างไรในอนาคต

เป๊ปยอมรับพลาดเอง เร่งเกมเกินไปทำให้แพ้ มาดริด

0

เป๊ป กวาร์ดิโอล่า นายใหญ่ของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยอมรับว่าการตัดสินใจของเขามีส่วนทำให้ทีมพ่าย เรอัล มาดริด หลังจากเร่งเกมมากเกินไปในช่วงท้าย ส่งผลให้ จู๊ด เบลลิงแฮม ซัดประตูชัยให้ ราชันชุดขาว พลิกแซงชนะในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบน็อกเอาต์ นัดแรก

เกมนี้ แมนฯ ซิตี้ ขึ้นนำก่อนถึงสองครั้งจากการทำประตูของ เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ แต่สุดท้ายถูก เรอัล มาดริด แซงกลับมาเป็น 3-2 ทำให้ทีมจากสเปนกุมความได้เปรียบก่อนจะกลับไปเล่นที่ ซานติอาโก้ เบร์นาเบว ในนัดที่สอง วันพุธที่ 19 กุมภาพันธ์

เป๊ปเผยสาเหตุพ่ายเกมนี้ เพราะเร่งเกมเร็วเกินไป

หลังจบเกม กวาร์ดิโอล่า ให้สัมภาษณ์กับ Amazon Prime ว่า “เราทำพลาดหลายครั้งในฤดูกาลนี้ และวันนี้ก็เช่นกัน ผมรู้ว่า เรอัล มาดริด เป็นทีมที่มีคุณภาพสูง เราพยายามเร่งเกมในครึ่งหลังและโจมตีเร็วเกินไป ซึ่งเป็นความผิดพลาดใหญ่ เพราะพวกเขาพร้อมลงโทษทุกจังหวะที่ผิดพลาด”

“มันไม่ใช่แค่ปัญหาของนักเตะหรือทีม แต่เป็นเรื่องของทุกคนในสโมสร ผมยอมรับความผิดพลาดนี้”

“ผมต้องพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นเพื่อช่วยให้ทีมรับมือกับสถานการณ์แบบนี้ได้ ปีนี้ผมต้องยอมรับว่า บางครั้งเราสู้คู่แข่งไม่ได้ และผมยังไม่ดีพอที่จะทำให้ทีมมีสมาธิและจัดการเกมให้ดีกว่านี้”

“ความรับผิดชอบเป็นของเราทุกคน ไม่ใช่แค่นักเตะ ผมสามารถโทษพวกเขาได้ แต่มันไม่มีประโยชน์ เพราะสุดท้ายแล้ว ผมคือตัวหลักที่ต้องรับผิดชอบ”

แมนฯ ซิตี้ ต้องบุกไปคว่ำมาดริดเพื่อเข้ารอบ

ความพ่ายแพ้ในเกมนี้ทำให้สถานการณ์ของ แมนฯ ซิตี้ ยากขึ้น เพราะพวกเขาจะต้องบุกไปเอาชนะ เรอัล มาดริด ในเกมเลกสอง หากต้องการผ่านเข้ารอบต่อไป

กวาร์ดิโอล่ากล่าวเพิ่มเติมว่า “แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องยาก แต่เราต้องฟื้นตัวให้เร็วที่สุด ตอนนี้ผมต้องโฟกัสไปที่เกมกับ นิวคาสเซิ่ล ในพรีเมียร์ลีกวันเสาร์นี้ ก่อนที่เราจะเดินทางไปเบร์นาเบวเพื่อทำให้ดีที่สุด”

ห้ามพลาด!