Home Blog Page 55

“มูดริก” ตรวจโด๊ปไม่ผ่าน พบสารกระตุ้นเสี่ยงแบน 4 ปี

0

มิไคโล มูดริก ปีกดาวรุ่งของเชลซี ถูกสั่งพักการลงสนามชั่วคราว หลังผลตรวจสารกระตุ้นออกมาเป็นบวก ซึ่งอาจส่งผลให้เจ้าตัวถูกแบนยาวถึง 4 ปีหากผลตรวจยืนยันในตัวอย่างที่สอง

ดาวเตะชาวยูเครน วัย 23 ปี หายหน้าไปจากสนามตั้งแต่เกมที่เขาทำประตูให้เชลซีในศึกยูโรปา คอนเฟอเรนซ์ ลีก ที่พบกับ ไฮเดนไฮม์ ก่อนจะมีชื่อกลับมาติดทีมชุดใหญ่ในเกมกับแอสตัน วิลล่าเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา

สำนักข่าว Tribuna ในยูเครน เปิดเผยว่าการทดสอบครั้งล่าสุดของมูดริก พบสาร เมลโดเนียม ซึ่งถูกจัดเป็นสารต้องห้าม โดยมีคุณสมบัติคล้ายกับอินซูลิน ซึ่งทางสโมสรเชลซีเองได้ยืนยันถึงเรื่องนี้ภายหลัง

รายงานระบุว่า ผลบวกดังกล่าวมาจากการทดสอบในตัวอย่างแรกเท่านั้น โดยขณะนี้มีการขอตรวจตัวอย่างที่สองเพื่อความชัดเจน ซึ่งหากผลออกมาเหมือนเดิม มูดริกอาจต้องเผชิญกับการถูกแบนสูงสุด 4 ปี ตามกฎขององค์กรต่อต้านการใช้สารต้องห้าม

มูดริก ได้ออกมาชี้แจงผ่านอินสตาแกรมส่วนตัวถึงกรณีดังกล่าวว่า
“ผมได้รับแจ้งว่าตัวอย่างที่ส่งตรวจพบสารต้องห้าม ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ผมตกใจอย่างมาก เพราะผมไม่เคยใช้สารใดๆ โดยเจตนาหรือฝ่าฝืนกฎเลยแม้แต่น้อย”

“ขณะนี้ผมกำลังร่วมมือกับทีมงานอย่างเต็มที่ เพื่อตรวจสอบสาเหตุว่าทำไมผลการทดสอบถึงออกมาแบบนี้ ผมมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด และผมยังมีความหวังว่าจะกลับมาลงเล่นในเร็วๆ นี้ แม้ตอนนี้จะพูดอะไรได้ไม่มาก เนื่องจากกระบวนการยังดำเนินอยู่ แต่ผมจะอธิบายทุกอย่างทันทีที่ทำได้”

ด้าน เชลซี ออกแถลงการณ์ยืนยันว่ากำลังทำงานร่วมกับนักเตะอย่างใกล้ชิด พร้อมประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาคำตอบว่าทำไมผลตรวจของมูดริกถึงพบสารต้องห้าม พร้อมย้ำว่ายังไม่มีการตั้งข้อหาหรือตัดสินใดๆ ในตอนนี้

ตามกฎของ เอฟเอ นักเตะที่ถูกตรวจพบว่ามีสารต้องห้ามจะถูกระงับการลงแข่งขันเป็นการชั่วคราวทันทีจนกว่าจะมีข้อสรุป อย่างไรก็ตาม มูดริก ยังคงมีโอกาสพิสูจน์ความบริสุทธิ์ในตัวอย่างที่สองและอธิบายที่มาของสารดังกล่าว ก่อนจะมีบทสรุปในกรณีนี้ต่อไป.

“อโมริม” แจงเหตุดรอปแรชฟอร์ด-การ์นาโช่

0

รูเบน อโมริม กุนซือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กล่าวชื่นชมความมุ่งมั่นและความเชื่อมั่นของลูกทีมที่ไม่ยอมแพ้จนกระทั่งวินาทีสุดท้าย ก่อนจะบุกไปเอาชนะแมนเชสเตอร์ ซิตี้ 2-1 ในศึก แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ ที่เอติฮัด สเตเดี้ยม โดยเกมนี้ได้ประตูสำคัญจาก บรูโน่ แฟร์นันด์ส (จุดโทษ นาที 88) และ อาหมัด ดิยัลโล่ นาทีที่ 90 ทำให้ทัพปีศาจแดงเก็บ 3 คะแนนล้ำค่า มีเพิ่มเป็น 22 คะแนนจาก 16 นัด (ชนะ 6 เสมอ 4 แพ้ 6)

อโมริม กล่าวหลังเกมว่า “ผมภูมิใจกับทีมมาก เราแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นและความมุ่งมั่นตลอดเกม มันต่างจากวันที่เราแพ้อาร์เซน่อล วันนั้นผมไม่รู้สึกถึงพลังหรือความเชื่อเลย แต่วันนี้ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง”

นอกจากนี้ กุนซือชาวโปรตุเกสยังยกย่องฟอร์มของ อาหมัด ดิยัลโล่ ที่ทำประตูชัยให้กับทีมว่า “อาหมัดอยู่ในช่วงเวลาที่ดี เขาถูกผลักดันขึ้นมาจากทีมเยาวชนในยุคของ เอริค เทน ฮาก และได้รับการขัดเกลาจากโค้ชที่ยอดเยี่ยมอย่าง รุด ฟาน นิสเตลรอย เราต้องเรียนรู้จากอดีตและไม่ทำผิดซ้ำอีก”

“มันเป็นเกมที่หนักมาก แต่เราก็เชื่อมั่นในตัวเองจนถึงช่วงสุดท้าย ผมก็เชื่อเช่นกัน เรารวบรวมพลังทุกอย่าง และสิ่งมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้น ผมภูมิใจในทีมและมีความสุขกับแฟนๆ เพราะวันนี้คือวันพิเศษสำหรับพวกเขา แต่เรายังต้องมองไปข้างหน้า สโมสรอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต้องชนะเกมใหญ่แบบนี้ให้ได้อย่างต่อเนื่อง”

แจงเหตุพัก แรชฟอร์ด-การ์นาโช่

อโมริม ยังอธิบายถึงการดร็อป มาร์คัส แรชฟอร์ด และ อเลฮานโดร การ์นาโช่ ในเกมนี้ว่า “ผมต้องขอย้ำว่านี่ไม่ใช่เรื่องของปัญหาวินัย ถ้ามันเป็นเรื่องนั้น ผมคงออกมาบอกตรงๆ และมันคงกลายเป็นประเด็นใหญ่กว่านี้ แต่นี่ไม่ใช่กรณีนั้น”

“การเป็นผู้เล่นของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทุกอย่างสำคัญหมด ตั้งแต่การฝึกซ้อม การแข่งขัน การแต่งตัว การกิน รวมไปถึงการทำงานร่วมกับทีม เมื่อคุณไม่ได้ลงเล่น คุณต้องแสดงให้เห็นถึงความทุ่มเทและยกระดับมาตรฐานของตัวเองขึ้นมา”

“วันนี้ทีมพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ต่อให้ขาดผู้เล่นคนใดคนหนึ่งไป เราก็สามารถรวมพลังกันและคว้าชัยชนะได้ หากทุกคนเล่นอย่างเป็นหนึ่งเดียว”

“สำหรับนักเตะอย่าง แรชฟอร์ด และ การ์นาโช่ ถ้าพวกเขาทำงานหนักในการฝึกซ้อมด้วยพรสวรรค์ที่มี พวกเขาจะกลับมามีส่วนสำคัญกับทีมได้แน่นอน แต่พวกเขาต้องสู้เพื่อตำแหน่งในทีมเหมือนคนอื่นๆ”

คำพูดของ อโมริม สะท้อนถึงมาตรฐานอันเข้มข้นที่เขาพยายามสร้างขึ้นในทีม เพื่อผลักดันให้ทุกคนทำผลงานให้ดีที่สุดและไม่หยุดพัฒนา โดยชัยชนะครั้งนี้น่าจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการเสริมความมั่นใจให้กับทัพปีศาจแดงต่อไป.

ลิเวอร์พูล จับตา “เคอร์เคซ” แบ็กซ้ายบอร์นมัธ

0

ลิเวอร์พูล ตกเป็นข่าวว่ากำลังพิจารณาคว้าตัว มิลอส เคอร์เคซ แบ็กซ้ายดาวรุ่งของบอร์นมัธ มาเสริมแกร่งในแนวรับ เพื่อเป็นตัวแทนของ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ในระยะยาว

แม้ “หงส์แดง” จะทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมทั้งในพรีเมียร์ลีกและศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นในเกมเสมอ ฟูแล่ม 2-2 ทำให้เห็นจุดบกพร่องของทีมชัดเจน โดยเฉพาะในเกมรับเมื่อ โรเบิร์ตสัน โดนใบแดง ทำให้เกมของลิเวอร์พูลยากลำบากในการคว้า 3 คะแนน และต้องดิ้นรนอย่างหนักกว่าจะเก็บแต้มได้จากเกมดังกล่าว ส่งผลให้สโมสรจากเมอร์ซีย์ไซด์ เริ่มมองหาแบ็กซ้ายรายใหม่เพื่อเข้ามาเป็นตัวเลือกเพิ่มเติมในทีม

สื่อชื่อดัง CaughtOffside รายงานว่า อาร์เน่ สล็อต ผู้จัดการทีมคนใหม่ของลิเวอร์พูล แสดงความสนใจในตัวของ มิลอส เคอร์เคซ กองหลังชาวฮังการีวัย 21 ปี ซึ่งกำลังโชว์ฟอร์มได้โดดเด่นให้กับบอร์นมัธในฤดูกาลนี้ เคอร์เคซถือเป็นนักเตะที่ถูกจับตามอง และเขายังเคยค้าแข้งกับ อาแซด อัลค์มาร์ ในเอเรดิวิซี ลีก เนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ สล็อต ทำงานอยู่กับเฟเยนูร์ด ทำให้มีโอกาสสูงที่กุนซือชาวดัตช์จะคุ้นเคยกับฝีเท้าของดาวเตะรายนี้

จุดเด่นของ เคอร์เคซ คือสไตล์การเล่นที่ดุดัน กล้าบวกในการเข้าปะทะ และมีความแข็งแกร่งในเกมรับ ซึ่งสอดคล้องกับระบบการเล่นที่ สล็อต วางไว้ให้กับลิเวอร์พูล นอกจากนี้ ฟูลแบ็กวัย 21 ปี ยังถูกยกให้เป็นหนึ่งในผู้เล่นดาวรุ่งที่น่าจับตามองที่สุดในพรีเมียร์ลีกเวลานี้

เคอร์เคซ ปัจจุบันมีสัญญากับบอร์นมัธจนถึงปี 2028 ทำให้ดีลนี้อาจไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับลิเวอร์พูล แต่การที่ ริชาร์ด ฮิวจ์ส อดีตผู้อำนวยการกีฬาของบอร์นมัธ ซึ่งปัจจุบันมาทำงานกับหงส์แดง น่าจะช่วยให้การเจรจามีความเป็นไปได้มากขึ้น

ทั้งนี้ต้องติดตามกันต่อไปว่า ลิเวอร์พูล จะตัดสินใจเดินหน้าเสริมทัพในตำแหน่งแบ็กซ้ายอย่างจริงจังในช่วงตลาดซื้อขายนักเตะเดือนมกราคมนี้ หรืออาจรอจนถึงตลาดซัมเมอร์เพื่อคว้าตัว เคอร์เคซ มาร่วมทีม.

ช็อกแฟนบอล! บาร์เซโลน่าพลาดท่า พ่าย เลกาเนส

0

บาร์เซโลน่า ต้องเจอกับความพ่ายแพ้สุดช็อกในศึกลา ลีกา เมื่อคืนวันที่ 15 ธันวาคม 2024 หลังพ่ายคาบ้านต่อเลกาเนส 0-1 ที่สนามเอสตาดี โอลิมปิก หลุยส์ กอมปานีส์ แม้จะยังคงครองตำแหน่งจ่าฝูง แต่การสะดุดครั้งนี้ทำให้แต้มของพวกเขาหยุดอยู่ที่ 38 คะแนนเท่ากับแอตเลติโก มาดริด ทีมรองจ่าฝูงที่แข่งน้อยกว่าหนึ่งนัด

เกมนี้ บาร์เซโลน่าเน้นการครองบอลและสร้างเกมรุกตามสไตล์ แต่กลับขาดความเฉียบคมในจังหวะสุดท้าย ขณะที่เลกาเนสมาเล่นเกมรับอย่างมีวินัยและอาศัยจังหวะโต้กลับ ได้ประตูชัยในช่วงครึ่งแรกจากจังหวะเตะมุมเปิดโหม่ง

ฟอร์มของ “เจ้าบุญทุ่ม” ถูกวิจารณ์อย่างหนัก โดยเฉพาะการประสานงานในแนวรุกที่ไม่สามารถเปลี่ยนโอกาสเป็นประตูได้และแนวรับที่เสียง่ายแม้จะมีโอกาสยิงหลายครั้ง แต่กลับไม่สร้างความกดดันเพียงพอต่อแนวรับของทีมเยือน

กุนซือของทีม ออกมายอมรับหลังเกมว่า “เราพลาดโอกาสสำคัญในช่วงท้ายปี ซึ่งสถานการณ์นี้ทำให้เราต้องทบทวนและปรับปรุงทันที”

สำหรับเลกาเนส ชัยชนะครั้งนี้ถือเป็นหนึ่งในไฮไลต์ของฤดูกาล ช่วยเพิ่มความหวังในการหนีโซนตกชั้นได้อย่างมาก ขณะที่บาร์เซโลน่าต้องเร่งเก็บชัยชนะในนัดต่อไป หากไม่อยากเสียตำแหน่งจ่าฝูงให้กับแอตเลติโก มาดริดในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของฤดูกาล.

แมนยูพลิกแซงแมนซิตี้ 2-1 ในศึกพรีเมียร์ลีกสุดดราม่า

0

ก่อนเกมเดือด:
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ลงสนามด้วยฟอร์มที่ยังไม่เข้าที่ หลังไม่ชนะใครมา 2 นัดติด ทั้งเกมลีกที่เสมอ คริสตัล พาเลซ 2-2 และพ่ายยูเวนตุส 0-2 ในแชมเปียนส์ลีก ความพร้อมของทีมยังมีปัญหา โดยไร้ โรดรี้, นาธาน อาเก้, จอห์น สโตนส์ และ ริโก้ ลูอิส ที่ติดโทษแบน
ด้านแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แม้จะเพิ่งแพ้น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ 2-3 แต่เรียกความมั่นใจคืนด้วยชัยชนะ 2-1 เหนือ วิคตอเรีย เพิลเซน ในยูโรป้า ลีก อย่างไรก็ตาม ทีมยังขาด ลุค ชอว์ ที่บาดเจ็บ แต่ได้รับข่าวดีเมื่อ จอนนี อีแวนส์ พร้อมช่วยทีม


เกมสุดมันส์:
เริ่มเกมมา ทั้งสองทีมเปิดเกมบุกใส่กันแต่ยังไม่มีจังหวะจบสกอร์แบบจะแจ้ง กระทั่งนาทีที่ 36 เควิน เดอ บรอยน์ เปิดบอลอย่างแม่นยำให้ ยอสโก้ กวาร์ดิโอล โหม่งเต็มศีรษะให้แมนซิตี้ขึ้นนำ 1-0 และเกือบได้ลูกที่สองในช่วงทดเวลา ฟิล โฟเด้น ยิงแฉลบ แฮร์รี แม็คไกวร์ แต่ อังเดร โอนานา ยังโชว์ซูเปอร์เซฟไว้ได้

ครึ่งหลัง แมนยูปรับเกมรุกเข้าสู้ นาทีที่ 62 บรูโน แฟร์นันด์ส ครอสบอลให้ อาหมัด ดิยัลโล โหม่งเต็มแรง แต่ เอแดร์ซอน ยังบินปัดได้อย่างยอดเยี่ยม จากนั้น นาทีที่ 74 ราสมุส ฮอยลุนด์ มีโอกาสหลุดเดี่ยว แต่ชิพหลุดกรอบไปอย่างน่าเสียดาย


จุดเปลี่ยนของเกม:
เข้าสู่ช่วงท้ายเกม นาทีที่ 88 แมนยูตีเสมอ 1-1 เมื่อ บรูโน แฟร์นันด์ส สังหารจุดโทษเข้าไป หลัง มาเธอุส นูเนส ทำฟาวล์ อาหมัด ดิยัลโล ในกรอบเขตโทษ เกมทำท่าจะจบด้วยผลเสมอ แต่ในนาทีที่ 90 ลิซานโดร มาร์ติเนซ วางบอลยาวให้ อาหมัด ดิยัลโล หลุดเดี่ยว โชว์ความเยือกเย็นกระดกบอลผ่านตัว เอแดร์ซอน ก่อนยิงประตูชัยให้แมนยูเฉือนชนะไป 2-1


สรุป:
ชัยชนะนัดนี้ช่วยให้แมนยูเรียกความมั่นใจกลับมา พร้อมขยับคะแนนไล่จี้กลุ่มหัวตาราง ด้านแมนซิตี้ต้องเร่งฟื้นฟอร์ม หากไม่อยากเสียตำแหน่งท็อปโฟร์ในช่วงโค้งแรกของฤดูกาล

เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เปรยอาจพิจารณาอำลา แมนฯ ซิตี้

0

เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ออกมายอมรับว่าเขาอาจพิจารณาอำลาตำแหน่ง หากไม่สามารถกอบกู้ฟอร์มอันย่ำแย่ของทีมได้ภายในช่วง 1 เดือนข้างหน้า

ตามรายงานจาก เดลี่ เมล ระบุว่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เตรียมลงเล่นในศึก แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ คืนวันอาทิตย์นี้ที่สนามเอติฮัด สเตเดี้ยม ท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่สู้ดีนัก หลังทีมชนะแค่ 1 นัดจาก 10 เกมหลังสุด แถมเพิ่งพ่าย ยูเวนตุส 0-2 ในศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ทำให้พวกเขาเสี่ยงที่จะตกรอบเร็วกว่าที่คาดไว้

ปัจจุบัน “เรือใบสีฟ้า” รั้งอันดับ 5 ในตารางพรีเมียร์ลีก มีเพียง 27 คะแนน ตามหลัง น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ทีมอันดับ 4 ที่มี 28 คะแนน โดยหลังเกมพบ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โปรแกรมต่อไปของพวกเขายังต้องเจองานหนักอย่าง แอสตัน วิลล่า, เอฟเวอร์ตัน, เลสเตอร์ ซิตี้, เวสต์แฮม ยูไนเต็ด, ซัลฟอร์ด ซิตี้ และ เบรนท์ฟอร์ด

แม้เพิ่งขยายสัญญากับแมนฯ ซิตี้ ออกไปจนถึงปี 2027 เมื่อเดือนที่แล้ว แต่ กวาร์ดิโอล่า ยอมรับว่า หากไม่สามารถแก้ไขปัญหาและพาทีมกลับสู่ฟอร์มที่ดีขึ้น เขาก็พร้อมที่จะยุติการคุมทีมที่ยาวนานถึง 8 ปี

“เมื่อถึงเวลาที่ผมรู้สึกว่าผมทำอะไรไม่ได้แล้ว ผมก็จะก้าวออกไป ผมไม่อยากอยู่ที่นี่หากสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้น ถ้าอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า เรายังแพ้แล้วแพ้อีก ผมจะยอมรับว่าถึงเวลาที่ต้องให้คนอื่นมารับช่วงต่อ”

“ผมเข้าใจดีว่าเราผ่านช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมมามากมาย และการประสบความสำเร็จเช่นนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เมื่อถึงจุดที่ทีมไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าหรือไม่ตอบสนองต่อผมเหมือนที่เคย ผมก็พร้อมจะพิจารณา”

กวาร์ดิโอล่า ตกอยู่ภายใต้แรงกดดันอย่างหนัก หลังไม่สามารถพาทีมคว้าชัยได้ติดต่อกันถึง 7 นัด ซึ่งถือเป็นผลงานที่ย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่เขาเริ่มเส้นทางการคุมทีมในระดับอาชีพ

“การกลับมาสู่ฟอร์มที่ดีที่สุดเป็นเรื่องยาก แต่ผมเชื่อว่าเมื่อเราทำได้อีกครั้ง ช่วงเวลาเหล่านั้นจะเป็นบทพิสูจน์ที่สำคัญสำหรับพวกเรา” กุนซือชาวสเปน กล่าวปิดท้าย

วูล์ฟแฮมป์ตัน ปลด แกรี่ โอนีล หลังพ่าย อิปสวิช

0

วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส ประกาศแยกทางกับ แกรี่ โอนีล กุนซือวัย 41 ปี อย่างเป็นทางการ หลังจากเกมล่าสุดบุกไปพ่ายให้กับ อิปสวิช ทาวน์ 1-2 เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา

ความพ่ายแพ้ดังกล่าวนับเป็นเกมที่ 11 ของวูล์ฟส์ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ โดย โอนีล พาทีมคว้าชัยชนะได้เพียง 2 นัด จาก 16 เกมแรก เก็บได้เพียง 9 คะแนน รั้งอันดับที่ 19 หรือรองสุดท้ายของตาราง ทำให้บอร์ดบริหารตัดสินใจปลดเขาออกจากตำแหน่งเพื่อแก้ไขสถานการณ์ที่ย่ำแย่

แกรี่ โอนีล เข้ารับตำแหน่งกุนซือวูล์ฟแฮมป์ตันเมื่อช่วงต้นฤดูกาล 2023/24 แทนที่ ฆูเลน โลเปเตกี เพียง 4 วันก่อนเปิดฤดูกาล โดยในฤดูกาลที่แล้ว ทีมจบอันดับที่ 14 ของพรีเมียร์ลีก อย่างไรก็ตาม ในซีซั่นนี้วูล์ฟส์ต้องเผชิญปัญหาเกมรับอย่างหนัก เสียไปแล้วถึง 40 ประตู ซึ่งเป็นจำนวนการเสียประตูสูงสุดในลีก อีกทั้งยังเสียอย่างน้อย 2 ประตู ใน 13 จาก 16 เกมที่ผ่านมา

การปลดครั้งนี้ทำให้ แกรี่ โอนีล กลายเป็นกุนซือรายที่ 3 ในพรีเมียร์ลีกที่ต้องพ้นจากตำแหน่งในฤดูกาลนี้ ต่อจาก เอริค เทน ฮาก ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ สตีฟ คูเปอร์ จากเลสเตอร์ ซิตี้

สำหรับวูล์ฟแฮมป์ตัน ขณะนี้ทีมกำลังเร่งหาผู้จัดการทีมคนใหม่เข้ามากู้สถานการณ์ เพื่อหวังพาทีมหนีจากโซนตกชั้นให้ได้ในช่วงที่เหลือของฤดูกาล.

“เดอะ ฟรีดกิ้น กรุ๊ป” เทคโอเวอร์เอฟเวอร์ตัน

0

พรีเมียร์ลีกได้อนุมัติให้ เดอะ ฟรีดกิ้น กรุ๊ป เข้าซื้อกิจการสโมสรเอฟเวอร์ตันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยคาดว่าการเทคโอเวอร์อย่างเป็นทางการจะเสร็จสิ้นภายในสัปดาห์หน้า

ตามรายงานจาก สกาย สปอร์ตส์ ระบุว่า เดอะ ฟรีดกิ้น กรุ๊ป ซึ่งนำโดย แดน ฟรีดกิ้น มหาเศรษฐีชาวอเมริกันที่มีทรัพย์สินรวมกว่า 6.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 4.8 พันล้านปอนด์) ได้รับการอนุมัติจากพรีเมียร์ลีกในการเข้ามาเป็นเจ้าของใหม่ของเอฟเวอร์ตัน หลังจากบรรลุข้อตกลงซื้อหุ้นจำนวน 94.1% จาก ฟาร์ฮัด โมชิรี่ ตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมา

ขั้นตอนที่เหลือก่อนการเทคโอเวอร์สมบูรณ์คือการตรวจสอบสถานะทางการเงินและความเหมาะสมในการบริหารสโมสร ซึ่งขณะนี้ได้ผ่านการพิจารณาจากพรีเมียร์ลีกแล้ว ทำให้คาดว่ากระบวนการทั้งหมดจะเสร็จสิ้นภายในสัปดาห์หน้า

ทั้งนี้ เดอะ ฟรีดกิ้น กรุ๊ป เป็นกลุ่มทุนที่มีประสบการณ์บริหารทีมฟุตบอลอยู่แล้ว โดยปัจจุบันพวกเขาเป็นเจ้าของสโมสร โรม่า ทีมดังจากศึกกัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี

ก่อนหน้านี้ กลุ่มทุนดังกล่าวเคยเข้าใกล้การเข้าซื้อเอฟเวอร์ตันเมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา แต่ดีลดังกล่าวล่มไป เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับสถานะหนี้สินของสโมสรที่เกี่ยวพันกับ 777 Partners อย่างไรก็ตาม หลังจากเจรจาใหม่อีกครั้ง เดอะ ฟรีดกิ้น กรุ๊ป ได้กลับมาบรรลุข้อตกลง และในที่สุดก็ผ่านการอนุมัติจากพรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ

การเข้ามาของ เดอะ ฟรีดกิ้น กรุ๊ป สร้างความหวังใหม่ให้กับแฟนบอลเอฟเวอร์ตัน ในการฟื้นฟูสถานะทางการเงินและยกระดับทีมให้กลับมาสู่ความแข็งแกร่งอีกครั้ง หลังต้องเผชิญปัญหาทั้งในและนอกสนามตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา.

รูเบน อโมริม ยืนยันหนุนหลัง “โอนาน่า” แม้พลาดซ้ำสองเกมติด

0

รูเบน อโมริม กุนซือของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังคงแสดงความเชื่อมั่นในตัว อ็องเดร โอนาน่า นายทวารมือหนึ่งของทีม แม้เจ้าตัวจะตกเป็นเป้าวิจารณ์อย่างหนักจากความผิดพลาดในสองนัดที่ผ่านมา

ความผิดพลาดครั้งแรกเกิดขึ้นในเกมพรีเมียร์ลีก เมื่อสัปดาห์ก่อน ที่พบกับ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ โดย โอนาน่า รับลูกยิงของ มอร์แกน กิ๊บส์-ไวท์ พลาด ทำให้ทีมพ่ายคาบ้าน 2-3 ต่อมาในศึกยูโรปา ลีก ที่บุกไปเยือน วิคตอเรีย เพิลเซ่น โอนาน่า จ่ายบอลพลาดเข้าทางคู่แข่งจนเสียประตูแรก ก่อนที่ทีมจะกลับมาชนะได้ 2-1 ในท้ายที่สุด

อย่างไรก็ตาม แม้จะโดนวิจารณ์หนัก แต่ โอนาน่า ก็ยังได้รับ รางวัลเซฟยอดเยี่ยมประจำเดือนพฤศจิกายน จากพรีเมียร์ลีก ซึ่งเป็นจังหวะป้องกันลูกยิงของ เลียม ดีแลป ในเกมที่เสมอกับ อิปสวิช ทาวน์ 1-1

รูเบน อโมริม กล่าวถึงสถานการณ์นี้ว่า เขายังคงไว้ใจในตัว โอนาน่า และย้ำว่าการเล่นแบบเน้นการบิลด์อัพจากแนวหลัง มีความเสี่ยงที่จะเกิดความผิดพลาดได้เป็นธรรมดา พร้อมทั้งสนับสนุนให้มือกาวทีมชาติแคเมอรูนเรียนรู้และแก้ไขจุดอ่อนต่อไป

“ใช่ เราจำเป็นต้องรับมือกับสถานการณ์เหล่านี้ให้ได้ เขาเคยผ่านเรื่องแบบนี้มาแล้ว และเราจะหาทางแก้ไขร่วมกัน”

อโมริม ยังอธิบายเพิ่มเติมถึงแผนการเล่นที่ส่งผลต่อความเสี่ยงดังกล่าวว่า

“เราพยายามสร้างเกมจากแดนหลัง ซึ่งบางครั้งการส่งบอลไปข้างหน้า หรือผ่านไปยังผู้เล่นอย่าง (มัทไธจ์ส เดอ ลิกต์) ก็อาจขาดความแม่นยำไปบ้าง เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น เราเสียประตู แต่มันเป็นส่วนหนึ่งของเกม”

พร้อมกันนี้ อโมริม ยังเปรียบเทียบเกมกับ ฟอเรสต์ และ วิคตอเรีย โดยบอกว่าทีมรับมือสถานการณ์ได้ดีขึ้นในเกมหลัง

“เกมกับวิคตอเรีย เราจัดการสถานการณ์ได้ดีกว่าที่เคยทำในเกมกับฟอเรสต์ และสุดท้ายเราก็ช่วยให้ โอนาน่า ผ่านมันไปได้ เหมือนที่เขาเคยช่วยทีมไว้หลายครั้งก่อนหน้านี้”

จากสถานการณ์ดังกล่าว แสดงให้เห็นว่า รูเบน อโมริม ยังคงมอง โอนาน่า เป็นฟันเฟืองสำคัญในแผนการเล่นของทีม พร้อมให้โอกาสและสนับสนุนอย่างเต็มที่เพื่อให้ผู้รักษาประตูรายนี้เรียกฟอร์มกลับคืนมาได้ในเร็ววัน.

ผลจับสลากฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก โซนยุโรป

0

การจับสลากแบ่งกลุ่มรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 2026 โซนยุโรปได้เสร็จสิ้นลงที่เมืองซูริก ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยการแข่งขันครั้งนี้แบ่งออกเป็น 12 กลุ่ม แต่ละกลุ่มจะแข่งขันแบบพบกันหมดทั้งเหย้าและเยือน

ทีมแชมป์ของแต่ละกลุ่มจะได้สิทธิ์เข้าสู่รอบสุดท้ายโดยอัตโนมัติ ส่วนทีมอันดับ 2 ที่ผลงานดีที่สุด 8 จาก 12 กลุ่ม จะต้องมาเล่นเพลย์ออฟเพื่อชิงตั๋วอีก 4 ใบ ทำให้ยุโรปจะได้โควตารวมทั้งหมด 16 ทีมในการแข่งขันครั้งนี้

อังกฤษอยู่กลุ่มไม่หนัก

ทีมชาติอังกฤษ ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมที่ได้รับความสนใจมากที่สุด ถูกจับอยู่ในกลุ่ม เค ร่วมกับ เซอร์เบีย, แอลเบเนีย, ลัตเวีย และ อันดอร์ร่า ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มที่ไม่หนักมาก โดยโอกาสที่ทีม “สิงโตคำราม” จะผ่านเข้ารอบสุดท้ายมีค่อนข้างสูง

การแบ่งกลุ่มที่น่าสนใจ

  • กลุ่ม เอ: ทีมผู้ชนะเนชั่นส์ ลีก (เยอรมนีหรืออิตาลี), สโลวาเกีย, ไอร์แลนด์เหนือ, ลักเซมเบิร์ก
  • กลุ่ม บี: สวิตเซอร์แลนด์, สวีเดน, สโลวีเนีย, โคโซโว
  • กลุ่ม ซี: ทีมผู้แพ้เนชั่นส์ ลีก (โปรตุเกสหรือเดนมาร์ก), กรีซ, สกอตแลนด์, เบลารุส
  • กลุ่ม ดี: ทีมผู้ชนะเนชั่นส์ ลีก (ฝรั่งเศสหรือโครเอเชีย), ยูเครน, ไอซ์แลนด์, อาเซอร์ไบจาน
  • กลุ่ม อี: ทีมผู้ชนะเนชั่นส์ ลีก (สเปนหรือเนเธอร์แลนด์), ตุรเคีย, จอร์เจีย, บัลแกเรีย
  • กลุ่ม เอฟ: ทีมผู้ชนะเนชั่นส์ ลีก (โปรตุเกสหรือเดนมาร์ก), ฮังการี, สาธารณรัฐไอร์แลนด์, อาร์เมเนีย
  • กลุ่ม จี: ทีมผู้แพ้เนชั่นส์ ลีก (สเปนหรือเนเธอร์แลนด์), โปแลนด์, ฟินแลนด์, ลิทัวเนีย, มอลตา
  • กลุ่ม เอช: ออสเตรีย, โรมาเนีย, บอสเนีย-เฮอร์เซโกวีนา, ไซปรัส, ซานมารีโน
  • กลุ่ม ไอ: ทีมผู้แพ้เนชั่นส์ ลีก (เยอรมนีหรืออิตาลี), นอร์เวย์, อิสราเอล, เอสโตเนีย, มอลโดวา
  • กลุ่ม เจ: เบลเยียม, เวลส์, มาซิโดเนียเหนือ, คาซัคสถาน, ลิกเตนสไตน์
  • กลุ่ม เค: อังกฤษ, เซอร์เบีย, แอลเบเนีย, ลัตเวีย, อันดอร์ร่า
  • กลุ่ม แอล: ทีมผู้แพ้เนชั่นส์ ลีก (ฝรั่งเศสหรือโครเอเชีย), สาธารณรัฐเช็ก, มอนเตเนโกร, หมู่เกาะแฟโร, ยิบรอลตาร์

โปรแกรมการแข่งขัน

การแข่งขันรอบคัดเลือกโซนยุโรปจะมีขึ้นในช่วงพักเบรกทีมชาติระหว่างเดือนมีนาคมถึงพฤศจิกายน ปี 2025 โดยจะมีการแข่งขันทั้งหมด 5 ช่วง

การแข่งขันฟุตบอลโลก 2026 ครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่มีการขยายจำนวนทีมในรอบสุดท้ายเป็น 48 ทีม โดยยุโรปยังคงเป็นทวีปที่ได้โควตามากที่สุด และการแข่งขันในรอบคัดเลือกนี้จะมีบทบาทสำคัญในการสร้างทีมตัวแทนที่ดีที่สุดจากทวีปยุโรป.

ห้ามพลาด!