Home Blog Page 61

เอซี มิลาน: ตำนานแห่งเซเรีย อาที่กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง

0

เอซี มิลาน สโมสรยักษ์ใหญ่จากอิตาลี ซึ่งมีประวัติศาสตร์ที่เปี่ยมไปด้วยความสำเร็จและตำนานมากมาย ได้กลับมาทวงคืนความยิ่งใหญ่ในเวทีฟุตบอลยุโรปอีกครั้ง หลังจากที่เคยเผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบากตลอดทศวรรษที่ผ่านมา ความสำเร็จของทีมในยุคปัจจุบันไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของการสร้างทีมใหม่จากศูนย์ แต่ยังเกี่ยวข้องกับการผสมผสานระหว่างดาวรุ่งผู้กระหายชัยชนะและผู้เล่นประสบการณ์สูงที่ช่วยสร้างสมดุลให้กับทีม

ตำนานที่เป็นแรงบันดาลใจ
มิลานเป็นหนึ่งในสโมสรที่มีประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ที่สุดในวงการฟุตบอลโลก โดยสามารถคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกถึง 7 สมัย เป็นรองเพียงเรอัล มาดริดเท่านั้น ตำนานอย่าง เปาโล มัลดินี, มาร์โก ฟาน บาสเท่น และกาก้า ได้สร้างภาพจำที่ลบไม่ออกในใจแฟนบอล อย่างไรก็ตาม ช่วงปี 2010 เป็นต้นมา ทีมต้องประสบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ทั้งการเปลี่ยนเจ้าของสโมสรและปัญหาทางการเงินที่ทำให้สโมสรห่างหายจากความสำเร็จ

การกลับมาของปีศาจแดงดำ
ยุคใหม่ของมิลานเริ่มต้นขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ภายใต้การคุมทีมของกุนซือ สเตฟาโน่ ปิโอลี่ และการบริหารที่มีประสิทธิภาพจากผู้บริหารอย่าง เปาโล มัลดินี ทีมได้คว้าแชมป์เซเรีย อา ฤดูกาล 2021/22 ซึ่งเป็นแชมป์ลีกครั้งแรกในรอบ 11 ปี การสร้างทีมเน้นการใช้ผู้เล่นเยาวชนที่มีความสามารถสูง เช่น ราฟาเอล เลเอา และ ซานโดร โตนาลี ผสานกับนักเตะประสบการณ์อย่าง โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ และ ไซม่อน เคียร์ สร้างทีมที่มีสมดุลระหว่างพละกำลังและความนิ่ง

ปรัชญาและแท็กติก
มิลานภายใต้ปิโอลี่เล่นด้วยสไตล์ฟุตบอลที่เน้นการโจมตีรวดเร็วและการเพรสซิ่งในแดนสูง ระบบ 4-2-3-1 ที่ใช้ความยืดหยุ่นและความหลากหลายทางแท็กติก ทำให้มิลานสามารถตอบโต้และเอาชนะทีมที่มีสไตล์แตกต่างกันได้ ความสำเร็จนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ทีมกลับมาเป็นหนึ่งในผู้ท้าชิงในเซเรีย อา แต่ยังได้กลับมาโลดแล่นในยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ซึ่งเป็นเวทีที่เหมาะสมกับความยิ่งใหญ่ของพวกเขา

อนาคตที่สดใส
เอซี มิลานกำลังมุ่งมั่นที่จะรักษาความยิ่งใหญ่และสร้างความสำเร็จที่ยั่งยืนต่อไป การพัฒนาศูนย์ฝึกเยาวชนและการลงทุนในผู้เล่นที่มีศักยภาพเป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของสโมสร โดยพวกเขาหวังว่าจะสามารถสร้างทีมที่ประสบความสำเร็จทั้งในระดับประเทศและระดับยุโรปได้ในระยะยาว แฟนบอลทั่วโลกจึงจับตามองว่าปีศาจแดงดำจะยังคงก้าวขึ้นไปสู่ความสำเร็จในอนาคตได้อย่างไร

เรอัล มาดริดสะดุด! แผนการล่าแชมป์เริ่มสั่นคลอน

0

เรอัล มาดริด ประสบความพ่ายแพ้อย่างไม่คาดคิดในเกมล่าสุด สร้างความกังวลให้กับแฟนบอลและ คาร์โล อันเชล็อตติ ที่ต้องเผชิญกับความกดดันในการพาทีมกลับสู่เส้นทางแชมป์ที่กำลังถูกท้าทายอย่างหนักจากบาร์เซโลนาและทีมคู่แข่งในลีก

ความพ่ายแพ้ครั้งนี้เกิดขึ้นจากการที่ทีมไม่สามารถคุมเกมได้ตามแผนที่วางไว้ ตั้งแต่แผงหลังที่เปิดช่องให้คู่แข่งบุกได้ง่าย ไปจนถึงกองกลางที่ขาดพลังในการครองบอล การโจมตีของเรอัล มาดริดดูไร้ไอเดียและพละกำลัง เนื่องจากวินิซิอุส จูเนียร์ และ โรดรีโก้ โกเอส ไม่สามารถสร้างโอกาสสำคัญได้

จุดเปลี่ยนของเกม
เรอัล มาดริดเริ่มต้นเกมด้วยความพยายามครองบอลและตั้งเกมรุกในแดนของคู่แข่ง แต่กลับถูกลงโทษจากการเล่นผิดพลาดของแนวรับในนาทีที่ 35 ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้คู่แข่งสามารถทำประตูขึ้นนำได้ การเสียประตูนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อขวัญและกำลังใจของทีม

ปัญหาหลัก: การขาดตัวสร้างสรรค์ในแดนกลาง
โทนี่ โครส และ ลูก้า โมดริช ถูกจับตามองว่าขาดความรวดเร็วในการเชื่อมเกม แม้เอดูอาร์โด้ คามาวิงก้าและเฟเดริโก้ บัลเบร์เด้จะพยายามช่วยสนับสนุนเกมรุก แต่ก็ยังไม่พอที่จะเอาชนะความเหนียวแน่นของแนวรับฝั่งตรงข้าม ทำให้การต่อบอลดูไม่ไหลลื่น

นอกจากนี้ แฟนบอลเรอัล มาดริดยังแสดงความไม่พอใจกับการจัดตัวของ อันเชล็อตติ โดยเฉพาะการเปลี่ยนตัวในครึ่งหลังที่ดูเหมือนจะไม่ช่วยพลิกสถานการณ์ ทำให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับแท็กติกของกุนซือรายนี้ในเกมใหญ่ ๆ

อนาคตที่รออยู่
การพ่ายแพ้ครั้งนี้ทำให้เรอัล มาดริดตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องรีบกลับมาเก็บชัยชนะในเกมถัดไป หากพวกเขาต้องการรักษาความหวังในการล่าแชมป์ต่อไป แต่ด้วยโปรแกรมที่แน่นและการแข่งขันในหลายรายการ คาร์โล อันเชล็อตติ ต้องคิดให้หนักว่าจะปรับทีมอย่างไรเพื่อเพิ่มความดุดันและพละกำลังในแดนกลาง รวมถึงต้องหาทางใช้ศักยภาพของกองหน้าที่มีอยู่ให้ได้อย่างเต็มที่

ความพ่ายแพ้ครั้งนี้ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของแต้มที่หายไป แต่ยังเป็นบททดสอบที่สำคัญต่อศักยภาพของทีมในฤดูกาลนี้และความเชื่อมั่นที่มีต่อโค้ช อันเชล็อตติ จะสามารถพลิกสถานการณ์ได้หรือไม่ หรือเรอัล มาดริดต้องยอมรับการต่อสู้เพื่อแค่โควต้าแชมเปียนส์ลีกในที่สุด?

แฟนบอลและวงการลูกหนังจะจับตาดูสถานการณ์นี้ต่อไปอย่างใกล้ชิด…

วิเคราะห์ก่อนเกม ปารีส แซงต์ แชร์กแมง vs แอตฯ มาดริด

0

ปารีส แซงต์ แชร์กแมง (PSG) เตรียมเปิดบ้านรับมือกับแอตเลติโก มาดริด ในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก คืนนี้

ซึ่งเป็นนัดที่สี่ของรอบแบ่งกลุ่ม PSG กำลังฟื้นฟูฟอร์มหลังชนะในลีกต่อเนื่อง แต่ยังคงต้องการชัยชนะในแชมเปี้ยนส์ลีก หลังจากเสมอ PSV และแพ้ให้กับอาร์เซน่อล โดยโค้ช หลุยส์ เอ็นริเก้ คาดว่าจะใช้ระบบ 4-3-3 โดยมาร์โก อาเซนซิโอจะเป็นกองหน้าตัวเป้า ขณะที่ อุสมาน เดมเบเล่ และแบรดลีย์ บาร์โคล่า จะขึ้นเกมริมเส้น​​

ทางด้านแอตฯ มาดริด ภายใต้การคุมทีมของ ดีเอโก้ ซิเมโอเน่

ฟอร์มในยุโรปไม่สม่ำเสมอ พวกเขาชนะในนัดแรกกับ RB ไลป์ซิก แต่แพ้สองนัดต่อมา ขณะที่ฟอร์มในลาลีกายังคงเป็นที่น่าพอใจ ทีมจะมาในระบบ 4-4-2 โดย อองตวน กรีซมันน์ จับคู่กับ ฆูเลียน อัลวาเรซ ในแดนหน้า พร้อมกับ โกเก้ และปาโบล บาร์ริออส คุมจังหวะเกมกลางสนาม​​

ในแง่ความพร้อม นักเตะหลักบางคนของ PSG อย่าง ลูคัส แอร์กน็องเดซ ยังไม่พร้อมลงสนาม ส่วนฝั่งแอตฯ มาดริดก็ยังขาดตัวหลักหลายคนเช่นกัน เกมนี้คาดว่าจะเป็นการแข่งขันที่สูสีและมีการวางแท็กติกที่เข้มข้น ซึ่ง PSG น่าจะได้เปรียบจากการเล่นในบ้าน แต่แอตฯ มาดริดมีเกมรับที่เหนียวแน่นและเล่นเกมโต้กลับได้​ดี

สกอร์ที่คาด: ปารีส แซงต์ แชร์กแมง 2-1 แอตเลติโก มาดริด

วิเคราะห์ก่อนเกม อินเตอร์ มิลาน vs อาร์เซน่อล

0

อินเตอร์ มิลาน เตรียมเปิดบ้านรับการมาเยือนของ อาร์เซน่อล ในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก คืนนี้ ทั้งสองทีมมี 7 คะแนนเท่ากันหลังผ่านไป 3 นัด

อินเตอร์มิลาน

มีความแข็งแกร่งในแนวรับและแนวรุกที่นำโดย เลาตาโร่ มาร์ติเนซ ซึ่งกำลังทำผลงานได้ดีทั้งในลีกและแชมเปี้ยนส์ลีก

อาร์เซน่อล

โค้ช มิเกล อาร์เตต้า ต้องรับมือกับปัญหาฟอร์มตกหลังจากแพ้นิวคาสเซิลเมื่อสุดสัปดาห์ อย่างไรก็ตาม การกลับมาของกัปตัน มาร์ติน โอเดการ์ด น่าจะช่วยเพิ่มพลังให้แดนกลาง ส่วน บูกาโย่ ซาก้า และ กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ จะเป็นกำลังสำคัญในการขึ้นเกมรุก

เกมนี้อินเตอร์น่าจะเน้นการโจมตีจากด้านข้างโดยใช้เฟเดริโก้ ดิมาร์โก และ เดนเซล ดุมฟรีส์ ที่ขึ้นชื่อเรื่องการครอสบอล ส่วนอาร์เซน่อลอาจต้องเน้นรับแล้วสวนกลับอย่างรวดเร็วเพื่อเจาะเกมรับของอินเตอร์ ซึ่งเล่นในบ้านอย่างเหนียวแน่น

โดยรวมแล้ว นี่เป็นแมตช์ที่สูสีและมีเดิมพันสูง หากอาร์เซน่อลสามารถคุมเกมแดนกลางได้ดี พวกเขาก็มีโอกาสแบ่งแต้มจากซาน ซิโร่ได้

สำหรับเกมนี้ อินเตอร์ มิลาน ที่เล่นในบ้านน่าจะได้เปรียบเล็กน้อยด้วยความแข็งแกร่งในแนวรับและความเฉียบคมของ เลาตาโร่ มาร์ติเนซ และ มาร์คัส ตูราม ที่สามารถสร้างโอกาสได้หลากหลาย ขณะที่ อาร์เซน่อล มีปัญหาในเกมรุกและความมั่นใจที่ลดลงจากฟอร์มในพรีเมียร์ลีก แต่ยังมีจุดแข็งในการโต้กลับอย่างรวดเร็วจาก บูกาโย่ ซาก้า และ กาเบรียล มาร์ติเนลลี่

สกอร์ที่คาด: อินเตอร์ มิลาน 2-1 อาร์เซน่อล

เอซี มิลาน บุกสยบ เรอัล มาดริด คาบ้าน 3-1

0

ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่มนัดที่ 4 เมื่อคืนวันอังคารที่ 5 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เรอัล มาดริด แชมป์เก่าและแชมป์ 15 สมัย เปิดสนามซานติอาโก้ เบร์นาเบว รับมือ เอซี มิลาน อดีตแชมป์ 7 สมัย ท่ามกลางความคาดหวังจากแฟนบอลเจ้าบ้านที่หวังเห็นทีมรักคว้าชัย

เกมเริ่มมาได้เพียง 12 นาที กองเชียร์มาดริดต้องเงียบกริบ เมื่อ เอซี มิลาน ออกนำก่อน 1-0 จากลูกเตะมุมที่ คริสเตียน พูลิซิช เปิดเข้ามาให้ มาลิค เจา ปราการหลังชาวเยอรมัน ขึ้นโหม่งบอลเสียบเสาแรกอย่างเฉียบคม

แต่เรอัล มาดริด ก็ตามตีเสมออย่างรวดเร็วในนาทีที่ 23 เมื่อ วินิซิอุส จูเนียร์ โดน เอแมร์ซง โรยาล ทำฟาวล์ในกรอบเขตโทษ ก่อนที่เจ้าตัวจะลุกขึ้นมายิงจุดโทษเข้าไปไม่พลาด ตีเสมอให้ทีมเป็น 1-1 และยังเป็นประตูที่ 4 ของเขาในฤดูกาลนี้

อย่างไรก็ตาม ก่อนหมดครึ่งแรกเพียง 6 นาที เอซี มิลาน ก็กลับมานำอีกครั้งจากจังหวะโต้กลับที่รวดเร็ว พูลิซิช กระชากบอลจากฝั่งขวาแล้วส่งให้ ราฟาเอล เลเอา ยิงติดเซฟของ อันเดร ลูนิน แต่บอลกระดอนมาเข้าทางปืน อัลบาโร่ โมราต้า ซ้ำเข้าไปพา “ปีศาจแดงดำ” ขึ้นนำ 2-1

ในช่วงครึ่งหลัง นาทีที่ 73 เอซี มิลาน ก็มาได้ประตูที่สาม เมื่อ ราฟาเอล เลเอา ลากบอลไปถึงเส้นหลังก่อนจ่ายให้ ทีจานี่ ไรน์เดอร์ส ยิงจบสกอร์แบบไม่เหลือซาก ทำให้ทีมเยือนนำห่างเป็น 3-1

ก่อนจบเกม อันโตนิโอ รือดิเกอร์ ของเรอัล มาดริด ส่งบอลเข้าประตูไปแล้ว แต่ VAR ปฏิเสธการให้ประตูเนื่องจากอยู่ในตำแหน่งล้ำหน้า

จบเกม เรอัล มาดริด พ่ายคาบ้านให้ เอซี มิลาน 1-3 ทำให้ทีมของพวกเขายังมีเพียง 6 คะแนนจาก 4 นัด และต้องลุ้นหนักในนัดถัดไป ขณะที่ เอซี มิลาน เก็บชัยชนะได้สองนัดติด มี 6 แต้มเช่นกัน ทำให้ทั้งสองทีมยังต้องสู้เต็มที่ในเกมที่เหลือเพื่อโอกาสผ่านเข้าสู่รอบน็อกเอาท์

“ชาบี อลอนโซ พูดถึง ลิเวอร์พูล หลัง เลเวอร์ พ่ายยับ”

0

ชาบี อลอนโซ ผู้จัดการทีมเลเวอร์คูเซน ออกมาแสดงความคิดเห็นหลังจากที่ทีมของเขาพ่ายต่อ ลิเวอร์พูล อย่างขาดลอย 4-0 ในศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก โดยอดีตกองกลางของลิเวอร์พูลยอมรับว่าเป็นเรื่องยากที่จะเห็นทีมเก่าของตัวเองทำผลงานได้ดี ในขณะที่เขาต้องพบกับความท้าทายและความกดดันกับเลเวอร์คูเซน

อลอนโซกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “ลิเวอร์พูลเป็นทีมที่แข็งแกร่งและมีคุณภาพที่ยอดเยี่ยม ซึ่งผมก็เคยสัมผัสด้วยตัวเองตอนเล่นที่นั่น แน่นอนว่าการพ่ายแพ้เช่นนี้ทำให้เราต้องกลับมาทบทวนและปรับปรุงอีกมาก”

อลอนโซยังเสริมว่า แม้จะรู้สึกยินดีกับความสำเร็จของลิเวอร์พูล แต่หน้าที่หลักของเขาในตอนนี้คือการพัฒนาเลเวอร์คูเซนให้แข็งแกร่งมากขึ้น “ลิเวอร์พูลเป็นสโมสรที่มีพัฒนาการไม่หยุดยั้ง และผมเคารพในสิ่งที่พวกเขาสร้างขึ้น แต่เราต้องเรียนรู้จากเกมนี้และเดินหน้าต่อไป” อลอนโซกล่าวทิ้งท้าย

“รูเบน อโมริม ยันชัยชนะสปอร์ติ้ง เหนือ แมนฯ ซิตี้”

0

วันที่ 6 พฤศจิกายน 2567 – รูเบน อโมริม ผู้จัดการทีมคนใหม่ของ “ปิศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กล่าวชัดว่า การที่เขาพาทีมเก่าสปอร์ติง ลิสบอน เอาชนะแมนเชสเตอร์ ซิตี้ได้ 4-1 ในศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ไม่ได้เป็นตัวชี้วัดอะไรสำหรับการทำงานในหน้าที่ใหม่ของเขา

อโมริมกล่าวว่า “ชัยชนะครั้งนี้ไม่ได้บ่งบอกอะไรเป็นพิเศษครับ อย่าตีความมากเกินไป เราไม่สามารถถ่ายทอดวิธีการเล่นหรือแนวคิดจากทีมหนึ่งไปสู่อีกทีมได้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีวิธีการเล่นที่ต่างออกไปจากสปอร์ติงฯ และผมเองก็ต้องการปรับตัวให้เข้ากับทีมใหม่ของผม”

เขายอมรับว่า การเอาชนะทีมอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ถือเป็นความสำเร็จ แต่สำหรับงานใหม่ของเขากับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จำเป็นต้องเริ่มต้นจากแนวคิดใหม่ ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางของสโมสรใหม่

อโมริมทิ้งท้ายด้วยความมุ่งมั่นว่า “การมาร่วมงานกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นมาก ผมพร้อมแล้วสำหรับทุกความท้าทายที่กำลังรออยู่ในพรีเมียร์ลีก”

“ทำไมอาร์เซนอลยังไปไม่ถึงแชมป์ลีก”

0

แม้ว่าฤดูกาลล่าสุดของอาร์เซนอลจะเต็มไปด้วยความหวังและการพัฒนาที่เห็นได้ชัด แต่พวกเขายังคงพลาดการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกที่รอคอยมาเกือบสองทศวรรษ ปัญหาหลักที่ทำให้พวกเขายังไม่ประสบความสำเร็จมีหลายด้านที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของทีมและความสามารถในการแข่งขันกับยอดทีมอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้

1. การบาดเจ็บของผู้เล่นหลัก
ความเสียหายที่เกิดจากการขาดนักเตะสำคัญอย่าง วิลเลียม ซาลิบา และ กาเบรียล เฆซุส เป็นสิ่งที่ขัดขวางไม่ให้ทีมของ มิเกล อาร์เตต้า สามารถแข่งขันได้อย่างเต็มที่ในช่วงท้ายฤดูกาลที่ผ่านมา ความฟิตของผู้เล่นยังคงเป็นจุดสำคัญที่อาจทำให้ความพยายามในการคว้าแชมป์สะดุด หากทีมไม่สามารถรักษาสภาพร่างกายของนักเตะสำคัญได้ตลอดทั้งฤดูกาล​​

2. ปัญหาด้านวินัย
ฤดูกาล 2024/25 ได้แสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงด้านวินัยเมื่ออาร์เซนอลได้รับใบแดงถึงสามใบในช่วงเปิดฤดูกาล นี่เป็นปัญหาที่ส่งผลต่อความสามารถในการรักษาผลการแข่งขัน และตามสถิติในช่วงของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ไม่มีทีมใดที่ได้แชมป์ลีกหลังจากได้รับมากกว่าสองใบแดงในฤดูกาลเดียว ซึ่งเพิ่มแรงกดดันให้ทีมต้องเล่นอย่างระมัดระวังและมีสมาธิ​

3. การขาดศูนย์หน้าทำประตูสูงสุด
แม้ว่ากาเบรียล เฆซุส และ บูกาโย่ ซาก้า จะทำประตูได้อย่างต่อเนื่อง แต่ทีมยังขาดศูนย์หน้าที่สามารถทำประตูได้ 20 ประตูต่อฤดูกาล ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการชิงแชมป์ ในขณะที่พวกเขาใช้ประโยชน์จากเซ็ตพีซได้ดี และมีผู้เล่นหลายคนที่ทำประตูได้ แต่ความคงเส้นคงวาในการจบสกอร์ยังเป็นสิ่งที่อาจขาดหายเมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้​​

อาร์เซนอลมีความสามารถที่จะสู้ได้ใกล้เคียงกับทีมระดับสูงสุด แต่พวกเขาต้องการปัจจัยต่างๆ ที่รวมกันให้สมบูรณ์แบบ ทั้งสุขภาพของนักเตะ, การควบคุมอารมณ์ในสนาม, และการสร้างเกมรุกที่ทรงพลังยิ่งขึ้น จึงจะสามารถทำลายคำสาปแห่งการรอคอยแชมป์ลีกได้สำเร็จ.

ฮาเมส โรดริเกซ: เส้นทางสู่ซูเปอร์สตาร์ในฟุตบอลโลก 2014

0

ศึกฟุตบอลโลก 2014 ที่บราซิลกลายเป็นเวทีที่พลิกชีวิตของฮาเมส โรดริเกซอย่างแท้จริง ดาวเตะหนุ่มชาวโคลอมเบียในขณะนั้นใช้โอกาสนี้แสดงฝีเท้าระดับโลกและพาเขากลายเป็นหนึ่งในชื่อที่โด่งดังที่สุดในวงการฟุตบอล ฮาเมสคว้ารางวัลรองเท้าทองคำ (Golden Boot) ด้วยผลงาน 6 ประตูจาก 5 นัด ซึ่งรวมถึงประตูสุดสวยจากลูกวอลเลย์ในเกมพบอุรุกวัยในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ประตูนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในประตูที่ยอดเยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลก​

ผลงานของเขานำโคลอมเบียผ่านเข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศ ซึ่งเป็นการไปได้ไกลที่สุดในประวัติศาสตร์ของทีมชาติ โดยแม้พวกเขาจะพ่ายต่อบราซิล เจ้าภาพในครั้งนั้น แต่ฟอร์มการเล่นของฮาเมสกลายเป็นที่พูดถึงในทุกมุมโลก จนทำให้เรอัล มาดริดตัดสินใจทุ่มเงินประมาณ 63 ล้านปอนด์ ดึงตัวเขาจากโมนาโกเพื่อมาร่วมทีมหลังจบทัวร์นาเมนต์​

แม้หลังจากนั้นเขาจะต้องพบกับความท้าทายในการปรับตัวและอาการบาดเจ็บที่รบกวนในสโมสรใหญ่ๆ แต่ช่วงเวลานั้นในปี 2014 ยังคงตราตรึงใจแฟนบอลทั่วโลก โดยเฉพาะการเล่นที่สง่างาม การจบสกอร์ที่เฉียบขาด และวิสัยทัศน์ในการสร้างสรรค์เกมที่ทำให้เขากลายเป็นซูเปอร์สตาร์ที่แท้จริง เป็นช่วงเวลาแห่งความรุ่งโรจน์ที่ทำให้ชื่อของฮาเมสกลายเป็นตำนานของฟุตบอลโคลอมเบียและผู้เล่นที่ยากจะลืม​

ปัญหาและความท้าทายของดาวเตะบราซิล

0

เนย์มา เคยถูกมองว่าเป็นดาวรุ่งที่จะขึ้นมายืนเคียงข้างกับตำนานอย่างคริสเตียโน โรนัลโด้ และลิโอเนล เมสซี่ อย่างไรก็ตาม แม้พรสวรรค์ของเขาจะไม่เป็นที่กังขา แต่เส้นทางของเนย์มาไม่สามารถเปรียบเทียบได้กับความสำเร็จอันมหาศาลของสองตำนานนั้น สาเหตุหลักๆ มีทั้งปัจจัยในและนอกสนามที่ทำให้เขาไม่สามารถก้าวสู่จุดสูงสุดแบบที่หลายคนคาดหวังได้

1. ปัญหาอาการบาดเจ็บ: ตั้งแต่การเจ็บหนักในฟุตบอลโลก 2014 ที่ทำให้เนย์มาต้องพักฟื้นหลายเดือน อาการบาดเจ็บกลายเป็นสิ่งที่คอยฉุดรั้งการพัฒนาและความสม่ำเสมอของเขาในสนาม นอกจากนี้ บาดเจ็บซ้ำซากยังเกิดขึ้นในช่วงสำคัญของการแข่งขัน เช่น ช่วงท้ายฤดูกาลของปารีส แซงต์-แชร์กแมง หรือเกมสำคัญในทีมชาติ​​

2. การย้ายทีมที่ผิดจังหวะ: การย้ายไปปารีส แซงต์-แชร์กแมงด้วยค่าตัวสถิติโลกในปี 2017 ไม่ได้ทำให้เนย์มาเป็นผู้นำพา PSG ไปสู่แชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกที่คาดหวังไว้ ตรงกันข้าม เขายังถูกบดบังรัศมีโดยเพื่อนร่วมทีมคนใหม่อย่างคีเลียน เอ็มบัปเป้ ที่กลายเป็นนักเตะที่โดดเด่นยิ่งกว่าที่สโมสรนี้​​

3. ปัจจัยนอกสนามและความมุ่งมั่น: แม้เนย์มาจะประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง แต่หลายคนวิจารณ์ว่าเขาขาดความทุ่มเทและวินัยแบบที่โรนัลโด้และเมสซี่มีมาตลอด บางครั้งพฤติกรรมและกิจกรรมทางสังคมของเขายังทำให้เกิดภาพลักษณ์ว่าเขาไม่ได้โฟกัสเต็มที่กับฟุตบอลเสมอไป นี่อาจเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้เขาไม่สามารถขึ้นไปถึงระดับที่แฟนๆ คาดหวัง​

ถึงแม้เนย์มาจะยังคงเป็นหนึ่งในนักเตะที่มีพรสวรรค์ที่สุดในยุคของเขา แต่เส้นทางของเขาแสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนของการเป็นนักเตะระดับโลก และความท้าทายที่มาพร้อมกับความคาดหวังจากแฟนบอลทั่วโลก

ห้ามพลาด!