Home Blog Page 62

“เดวิด คูต” งานเข้าอีกครั้ง! ล็อกใบเหลืองล่วงหน้า

0

เดวิด คูต ผู้ตัดสินวัย 42 ปี ซึ่งก่อนหน้านี้เคยถูกสั่งพักงานจาก PGMOL (องค์กรควบคุมผู้ตัดสินในอังกฤษ) จากกรณีใช้คำหยาบกับ เจอร์เก้น คล็อปป์ และ ลิเวอร์พูล ล่าสุดเขาถูกโยงกับข้อกล่าวหาใหม่เกี่ยวกับการ “ล็อกใบเหลือง” ล่วงหน้าก่อนการแข่งขัน

ตามรายงานของ เดอะ ซัน ระบุว่า เอฟเอ (สมาคมฟุตบอลอังกฤษ) ได้เริ่มการสอบสวนกรณีที่ คูต มีการพูดคุยกับบุคคลอื่นเกี่ยวกับการแจกใบเหลืองในเกมระหว่าง ลีดส์ ยูไนเต็ด พบ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน เมื่อเดือนตุลาคม 2019 ซึ่งในบทสนทนาดังกล่าว คูต อ้างว่า เอซยาน เอลิออสกี้ ผู้เล่นของลีดส์ จะได้รับใบเหลือง

ในเกมนั้นเอง เอลิออสกี้ โดนใบเหลืองในนาทีที่ 18 หลังสไลด์ใส่ ดาร์เนลล์ เฟอร์ลอง ของเวสต์บรอม และในที่สุด เจ้าตัวก็ยิงประตูชัยช่วยให้ลีดส์ชนะไป 1-0 หลังเกม มีรายงานว่า คูต ได้ส่งข้อความหาเพื่อนว่า “เมื่อวานนี้มันแย่มาก หวังว่าคุณจะสนับสนุนในสิ่งที่เราคุยกันไว้นะ”

เอฟเอออกแถลงการณ์ว่า “นี่เป็นข้อกล่าวหาที่ร้ายแรงมาก และเรากำลังเร่งดำเนินการสอบสวน” ขณะที่ คูต ยอมรับว่ามีการพูดคุยดังกล่าวเกิดขึ้นจริง แต่ยืนยันว่าเป็นเพียงการพูดเล่น และไม่ได้มีการกระทำที่ไม่เหมาะสมหรือได้รับผลประโยชน์ใดๆ

คูต อ้างว่าการแจกใบเหลืองในเกมดังกล่าวเป็นไปตามกฎและความเหมาะสม โดยกล่าวเพิ่มเติมว่า “ไม่ว่าปัญหาอะไรในชีวิตส่วนตัวของผม มันไม่เคยส่งผลกระทบต่อการตัดสินในสนาม ผมยึดมั่นในความซื่อสัตย์มาเสมอ และทำหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ”

รายงานยังเผยว่า ก่อนการแข่งขัน คูต เคยคุยโวกับแฟนบอลลีดส์ว่าจะได้เป็นผู้ตัดสินเกมนี้ ซึ่งแฟนบอลบางรายพูดติดตลกให้เขาแจกใบเหลืองเอลิออสกี้เพื่อใช้ในการวางเดิมพัน คูต ตอบรับบทสนทนานี้ด้วยท่าทีขำขัน โดยไม่มีการปฏิเสธ

นอกจากนี้ มีข้อความระหว่าง คูต กับเพื่อน ที่ถูกตีความว่าอาจเกี่ยวข้องกับการล็อกผล โดยเพื่อนคนหนึ่งตอบกลับข้อความของเขาว่า “โอ้ เกมนี้ใหญ่จริงๆ เรายังคุยเรื่องนั้นอยู่ใช่ไหม?” ก่อนที่ คูต จะตอบกลับว่า “ฮ่าๆ ผมไม่รู้ว่าคุณหมายถึงอะไร” และเพื่อนก็ตอบอีกว่า “อย่าทำให้ผมผิดหวังล่ะ!”

ข้อกล่าวหานี้ยิ่งทำให้ชื่อเสียงของ คูต ตกต่ำลง หลังจากก่อนหน้านี้เขาเคยตกเป็นข่าวฉาวจากกรณีที่มีคลิปวิดีโอที่ถูกกล่าวหาว่ามีลักษณะคล้ายการเสพยาออกมาในช่วงฟุตบอลยูโร 2024 ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการสอบสวนเพิ่มเติม.

แมนฯ ยูไนเต็ด ส่งแมวมองเช็กฟอร์ม “เยอเคเรส”

0

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ส่งทีมงานแมวมองเข้าชมเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก นัดที่ สปอร์ติ้ง ลิสบอน พ่ายให้กับ อาร์เซน่อล 1-5 เพื่อประเมินฟอร์มการเล่นของ วิคเตอร์ เยอเคเรส กองหน้าตัวเก่ง พร้อมกับสองเพื่อนร่วมทีมอย่าง จิโอวานี่ เควนด้า และ เปโดร กอนคัลเวส

ตามรายงานจาก เดลี่ เมล ระบุว่า เยอเคเรส วัย 26 ปี ซึ่งมีค่าฉีกสัญญาอยู่ที่ 70.7 ล้านปอนด์ ได้รับการจับตามองจากทีมปีศาจแดงหลังทำผลงานได้อย่างร้อนแรงตั้งแต่ย้ายมาร่วมทีมสปอร์ติ้ง ลิสบอน เมื่อปี 2023 แบบไม่มีค่าตัว ฤดูกาลนี้ เจ้าตัวทำไปแล้ว 24 ประตูจากการลงสนาม 20 นัดในทุกรายการ จนได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในกองหน้าฟอร์มดีที่สุดในยุโรป

ไม่ใช่เพียงแค่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เท่านั้นที่สนใจในตัว เยอเคเรส แต่ยังมีทีมชั้นนำอย่าง เชลซี, บาร์เซโลน่า และ บาเยิร์น มิวนิค ที่กำลังจับตามองสถานการณ์ของเขาอย่างใกล้ชิด

อย่างไรก็ตาม เดอะ ซัน รายงานว่า แม้ เยอเคเรส จะเนื้อหอมในตลาดซื้อขาย แต่เจ้าตัวมีความต้องการที่จะกลับมาร่วมงานกับ รูเบน อโมริม อดีตกุนซือของเขาอีกครั้งในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด หากมีโอกาสย้ายออกจาก สปอร์ติ้ง

ด้วยศักยภาพและความร้อนแรงของเขาในตอนนี้ เยอเคเรส อาจกลายเป็นจิ๊กซอว์สำคัญที่ แมนฯ ยูไนเต็ด กำลังตามหาเพื่อแก้ปัญหาในเกมรุก ท่ามกลางการแข่งขันจากบรรดายักษ์ใหญ่ในยุโรป.

เรอัล มาดริด ส่อไร้ 6 แข้งหลัก เกมบุกเยือน ลิเวอร์พูล

0

เรอัล มาดริด ต้องเจอปัญหาใหญ่ก่อนดวล ลิเวอร์พูล ในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก นัดที่ 5 หลังจากนักเตะคนสำคัญหลายรายไม่สามารถลงสนามได้ เนื่องจากอาการบาดเจ็บ

คาร์โล อันเชล็อตติ นายใหญ่ของ “ราชันชุดขาว” จะพลาดการใช้งาน วินิซิอุส จูเนียร์ และ โอเรเลียง ชูอาเมนี่ สองแข้งสำคัญ โดย วินิซิอุส ได้รับบาดเจ็บกล้ามเนื้อต้นขาด้านหลังจากเกมที่ชนะ เลกาเนส และต้องพักอย่างน้อย 1 เดือน ขณะที่ ชูอาเมนี่ ยังไม่หายจากอาการเจ็บข้อเท้าซึ่งเกิดขึ้นในเกมที่แพ้ เอซี มิลาน เมื่อช่วงต้นเดือน

นอกจากสองรายนี้ เอแดร์ มิลิเตา, ดาบิด อลาบา, ดานี่ การ์บาฆาล และ โรดริโก้ ก็ยังไม่พร้อมช่วยทีมเนื่องจากปัญหาอาการบาดเจ็บเช่นกัน ทำให้ อันเชล็อตติ จำเป็นต้องเรียกผู้เล่นจากทีมเยาวชนขึ้นมาเสริม โดย ราอูล อเซนซิโอ้, กอนซาโล่ การ์เซีย และ ฟราน กอนซาเลซ ได้รับการเลื่อนขึ้นมาเพื่อเติมเต็มช่องว่างในทีม โดยเฉพาะ กอนซาโล่ การ์เซีย ที่เคยลงเล่นกับทีมชุดใหญ่ในฤดูกาลนี้แล้ว

อย่างไรก็ดี ข่าวดีเล็กน้อยคือ ลูคัส บาสเกซ อาจเดินทางไปกับทีมได้ แม้ยังต้องลุ้นความฟิตก่อนเกม แต่ถึงอย่างนั้น เรอัล มาดริด ยังคงมีขุมกำลังหลักอย่าง คีเลียน เอ็มบัปเป้ และ จู๊ด เบลลิงแฮม ที่พร้อมลงสนามในเกมสำคัญนี้

เกมนี้ถือเป็นบททดสอบสำคัญสำหรับ อันเชล็อตติ และพลพรรคราชันชุดขาว ในการเผชิญหน้าลูกทีมของ อาร์เน่ สล็อต ที่แอนฟิลด์ ท่ามกลางสภาพทีมที่ไม่สมบูรณ์.

“ดอร์ทมุนด์” เล็งดึง “เอ็นดริค” เสริมแกร่ง หวังปั้นต่อ

0

โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ กำลังจับตาสถานการณ์ของ เอ็นดริค กองหน้าดาวรุ่งวัย 18 ปีของเรอัล มาดริด โดยหวังดึงตัวมาร่วมทีมเพื่อพัฒนาฝีเท้าภายใต้สไตล์ฟุตบอลของบุนเดสลีกา

แม้จะถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในนักเตะดาวรุ่งที่มีพรสวรรค์สูงสุดของวงการฟุตบอล แต่ฤดูกาลแรกของ เอ็นดริค ในสีเสื้อเรอัล มาดริด กลับเต็มไปด้วยความท้าทาย เจ้าตัวต้องพยายามอย่างหนักเพื่อเบียดแย่งตำแหน่งท่ามกลางขุมกำลังเกมรุกที่อัดแน่นไปด้วยดาวดังอย่าง โรดริโก้ และ วินิซิอุส จูเนียร์

อย่างไรก็ตาม อาการบาดเจ็บของสองสตาร์ชาวบราซิลในช่วงนี้อาจเปิดโอกาสให้ เอ็นดริค ได้โชว์ศักยภาพมากขึ้น แต่ก็ยังไม่แน่ชัดว่าเจ้าตัวจะได้รับโอกาสสม่ำเสมอหรือไม่ ภายใต้การคุมทีมของ คาร์โล อันเชล็อตติ

ดอร์ทมุนด์มีชื่อเสียงในฐานะสโมสรที่ขึ้นชื่อเรื่องการปั้นดาวรุ่ง ซึ่งรวมถึง เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ และ จู๊ด เบลลิงแฮม ในอดีต ทำให้พวกเขาเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจหาก เอ็นดริค ต้องการโอกาสลงสนามอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน โรม่า และ เรอัล บายาโดลิด ก็มีข่าวว่ากำลังจับตาแข้งรายนี้อยู่เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม เรอัล มาดริด ยังไม่มีแผนปล่อยตัว เอ็นดริค ออกจากทีมในตลาดซื้อขายเดือนมกราคม แม้จะเป็นรูปแบบยืมตัว โดยพวกเขายังคงเชื่อมั่นในศักยภาพของนักเตะ และมองว่าเขายังมีโอกาสพัฒนาภายในทีมต่อไป.

“ฟาน ไดจ์ค” ยันไม่คิดล้างแค้น มาดริด แม้ไร้ชัย 8 นัดติด

0

เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค กัปตันทีมลิเวอร์พูล ยืนยันว่าเขาไม่มีความคิดเรื่องการล้างแค้น เรอัล มาดริด แม้ “หงส์แดง” จะไร้ชัยชนะถึง 8 เกมติดต่อกันในการเจอกับทีมแกร่งจากสเปน ก่อนดวลกันอีกครั้งในศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ที่แอนฟิลด์

ลิเวอร์พูลยังไม่เคยเอาชนะ เรอัล มาดริด ได้เลยในการพบกัน 8 นัดที่ผ่านมา โดยทำได้เพียงเสมอ 1 เกมในรอบก่อนรองชนะเลิศของแชมเปียนส์ลีกปี 2021 ซึ่งผลรวมสองนัดตกเป็นของ เรอัล มาดริด ด้วยสกอร์ 3-1

ฟาน ไดจ์ค ซึ่งพลาดการลงสนามในเกมปี 2021 ได้สัมผัสประสบการณ์แพ้ เรอัล มาดริด ในฐานะนักเตะลิเวอร์พูลถึง 4 นัด รวมถึงรอบชิงชนะเลิศปี 2018 ที่เคียฟ และปี 2022 ที่ปารีส แม้จะเป็นความทรงจำที่เจ็บปวด แต่เจ้าตัวยืนยันว่าเขาไม่ได้คิดใช้ความพ่ายแพ้ในอดีตเป็นแรงกระตุ้นในการเจอกับทีมของ คาร์โล อันเชล็อตติ ในครั้งนี้

“พูดตรงๆ เลยนะ ผมไม่เคยคิดถึงเรื่องการแก้แค้นเลย” ฟาน ไดจ์คกล่าว “นี่คือแชมเปียนส์ลีก เกมสำคัญที่สวยงาม และเราต้องการเอาชนะเพื่อก้าวไปข้างหน้าให้ได้”

“ยอมรับตรงๆ ว่าผมยังไม่เคยชนะพวกเขาเลย สถิติ 8 นัดนั้นน่าผิดหวังมาก” ฟาน ไดจ์คยอมรับ “แต่เราจำเป็นต้องฟื้นตัวทั้งร่างกายและจิตใจเพื่อเตรียมตัวสำหรับเกมใหญ่ และผมก็ตื่นเต้นที่จะได้ลงสนามในนัดนี้”

กัปตันหงส์แดงเชื่อว่าการพบกับเรอัล มาดริดครั้งนี้จะเป็นอีกบททดสอบสำคัญของทีม และหวังว่าพวกเขาจะสามารถสร้างผลงานที่ยอดเยี่ยมเพื่อพลิกสถิติที่ไม่ดีในอดีต.

เป๊ป รับยังไม่แน่ใจอนาคต เดอ บรอยน์ กับ แมนฯ ซิตี้

0

เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เปิดใจว่าอนาคตของ เควิน เดอ บรอยน์ ยังไม่ชัดเจน โดยขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของตัวนักเตะเอง

เควิน เดอ บรอยน์ มีกำหนดหมดสัญญากับ แมนฯ ซิตี้ ในช่วงกลางปี 2025 แต่ด้วยอาการบาดเจ็บที่ต้นขาซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ทำให้เจ้าตัวต้องพักยาวและกระทบต่อการพูดคุยเรื่องสัญญาฉบับใหม่ แม้ว่าจะมีแผนการเจรจาเพิ่มเติมในเร็วๆ นี้ แต่กองกลางทีมชาติเบลเยียมก็ยอมรับว่า หากไม่สามารถตกลงกันได้ ฤดูกาลนี้อาจเป็นซีซั่นสุดท้ายของเขาที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม

เป๊ป ซึ่งเพิ่งต่อสัญญากับสโมสรออกไปอีก 2 ปี กล่าวถึงสถานการณ์นี้ว่า ตัวเขาเองก็ไม่ทราบว่าบทสรุปจะเป็นอย่างไร และขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของ เดอ บรอยน์ ว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุด

“ผมไม่รู้จริงๆ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเควินว่าจะเลือกอย่างไร” เป๊ปกล่าว “มันอาจเป็นการอำลาหลังจบฤดูกาลนี้ หรือฤดูกาลถัดไปก็ได้ ใครจะรู้”

“เขาเป็นคนที่จะตัดสินใจ เช่นเดียวกับ ดาบิด ซิลบา ที่เคยตัดสินใจในช่วงเวลาที่เหมาะสมเพื่อสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับทั้งตัวเขาเองและทีม”

“เควินไม่มีวันอยากอยู่ในสถานการณ์ที่ตัวเองไม่สามารถลงสนามทุกๆ 3 วันได้ ถ้าเขาฟิต เขาก็จะลงเล่นแน่นอน”

คำพูดของกุนซือชาวสเปนสะท้อนถึงความเชื่อมั่นในตัว เดอ บรอยน์ แต่ก็แฝงความเข้าใจว่าเวลาของเขากับ แมนฯ ซิตี้ อาจเข้าสู่ช่วงสุดท้ายในไม่ช้า.

สถิติเผย“ฮาลันด์”ฟอร์มดรอปหลังเหน็บ“อาร์เตต้า”ให้เจียมตัว

0

สื่ออังกฤษเปิดเผยสถิติที่น่าตกใจเกี่ยวกับฟอร์มการทำประตูของ เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ ดาวยิงแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ลดลงอย่างชัดเจนนับตั้งแต่พูดเหน็บ มิเกล อาร์เตต้า ผู้จัดการทีมอาร์เซน่อล หลังเกมเสมอ 2-2 เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา

ในช่วงต้นฤดูกาล พรีเมียร์ลีก ฮาลันด์ โชว์ฟอร์มร้อนแรง ยิงไป 9 ประตูใน 4 เกมแรก รวมถึงทำแฮตทริกในเกมกับ อิปสวิช และ เวสต์แฮม เขายิงประตูที่ 10 ในเกมเสมออาร์เซน่อล และหลังจบเกมได้พูดเหน็บ อาร์เตต้า ด้วยคำว่า “จงถ่อมตัวไว้”

อย่างไรก็ตาม นับจากนั้น ฮาลันด์ดูเหมือนจะสูญเสียจังหวะการทำประตูตามมาตรฐานของเขาเอง โดยใน 7 เกมพรีเมียร์ลีกหลังจากนั้น เขาลงสนามครบ 90 นาทีทุกนัด แต่ทำได้เพียง 2 ประตู จากโอกาสยิงทั้งหมด 36 ครั้ง โดยมีเพียง 15 ครั้งที่เข้ากรอบ

สถิติ xG (จำนวนประตูที่คาดว่าจะเกิดขึ้น) ของเขาในช่วง 7 เกมหลัง อยู่ที่ 8.03 ประตู หมายความว่าผลงานจริงของเขาต่ำกว่าความคาดหวังทางสถิติถึง 75% ซึ่งถือว่าต่ำผิดปกติสำหรับผู้เล่นระดับเขา

ในเกมล่าสุดที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ บุกไปพ่าย สเปอร์ส 0-4 ฮาลันด์มีโอกาสยิง 7 ครั้ง แต่ไม่สามารถทำประตูได้ ส่งผลให้ทีมพ่ายแพ้เป็นเกมที่ 5 ติดต่อกันในทุกรายการ ความตกต่ำนี้สร้างคำถามว่า ฮาลันด์ จะกลับมาทำลายล้างเกมรับคู่แข่งได้อีกเมื่อใด หรือคำพูดเหน็บแนมนั้นกลายเป็นแรงกดดันที่ย้อนกลับมาหาเขาเอง.

“ดาโลต์” พูดถึง “อโมริม” หลังประเดิมคุมแมนยูฯ

0

25 พฤศจิกายน 2567 – ดิโอโก ดาโลต์ กองหลังทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นหลังเกมที่ทีมบุกไปเสมอกับ อิปสวิช ทาวน์ 1-1 ในเกมพรีเมียร์ลีก นัดที่ถือเป็นการประเดิมคุมทีมนัดแรกของ รูเบน อโมริม ผู้จัดการทีมคนใหม่

ดิโอโก ดาโลต์ แบ็กขวาของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แสดงความคิดเห็นหลังเกมที่ทีมทำได้เพียงบุกเสมออิปสวิช ทาวน์ 1-1 ซึ่งถือเป็นการประเดิมคุมทีมนัดแรกของ รูเบน อโมริม โดยดาโลต์กล่าวว่า “ผลเสมอในวันนี้ถือว่ายุติธรรม เพราะเราควรเล่นได้ดีกว่านี้ และเมื่อเราเสียประตู เราเองก็มีโอกาสที่จะกลับมานำ แต่เราทำไม่สำเร็จ”

เขายังพูดถึงการทำงานของอโมริมว่า “แผนการเล่นของเขาสร้างอิมแพ็คได้ทันที แต่เราจำเป็นต้องเรียนรู้และปรับใช้ให้ได้จริงในสนามเพื่อเข้าใกล้ชัยชนะมากขึ้น นี่คือสิ่งที่ทีมต้องพัฒนาต่อไป.”

รอย คีนเดือด! ปะทะแฟนบอลอิปสวิชฯ หลังเกมเสมอ

0

25 พฤศจิกายน 2567 – หลังจากเกมที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด บุกไปเสมอ อิปสวิช ทาวน์ 1-1 ในศึกแชมเปียนชิพ อังกฤษ เหตุการณ์ที่ถูกพูดถึงอย่างมากกลับไม่ใช่เรื่องของเกมในสนาม แต่เป็นการปะทะกันนอกสนามของ รอย คีน ตำนานกัปตันทีมแมนยูฯ และอดีตกุนซืออิปสวิช ทาวน์ กับกลุ่มแฟนบอลเจ้าถิ่น

จุดเริ่มต้นของความวุ่นวาย

รอย คีน ซึ่งทำหน้าที่นักวิเคราะห์เกมให้กับ Sky Sports ในเกมดังกล่าว ได้เจอกับกลุ่มแฟนบอลอิปสวิช ทาวน์ ที่ตะโกนถ้อยคำรุนแรงใส่หลังเกม โดยเหตุการณ์เริ่มต้นขึ้นเมื่อแฟนบอลรายหนึ่งตะโกนคำพูดหยาบคายใส่คีนว่า

“ไอ้รอย คีน ไปตxยซะ!”

คำพูดดังกล่าวทำให้อดีตกัปตันผู้เกรี้ยวกราดของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โกรธถึงขั้นตอบโต้ทันที โดยตะโกนกลับไปว่า

“รอก่อน แล้วไปเจอกันที่ลานจอดรถ!”

แฟนบอลที่ก่อเหตุกลับแสดงท่าทีสะใจที่ทำให้รอย คีนหลุดอารมณ์ได้ ขณะที่เหตุการณ์นี้ถูกบันทึกไว้โดยแฟนบอลที่อยู่ในเหตุการณ์ และคลิปดังกล่าวถูกโพสต์ลง X (Twitter) จนกลายเป็นไวรัลที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง

ความสัมพันธ์ที่ไม่ราบรื่นระหว่างรอย คีน กับอิปสวิช ทาวน์

ความเดือดครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพราะรอย คีนมีประวัติที่ไม่น่าจดจำกับสโมสรอิปสวิช ทาวน์ ย้อนกลับไปในช่วงปี 2009-2011 คีนเคยคุมทีมอิปสวิช ทาวน์ลงสนามทั้งหมด 81 นัด โดยมีสถิติชนะ 28 นัด แพ้ 28 นัด และเสมอ 25 นัด ซึ่งผลงานที่ไม่โดดเด่นนี้ทำให้เขาถูกปลดออกจากตำแหน่งในต้นปี 2011

ตั้งแต่ถูกปลดออกจากตำแหน่งคุมทีม รอย คีนก็ไม่ได้กลับมาทำงานในฐานะผู้จัดการทีมอีกเลย โดยบทบาทหลักของเขาในปัจจุบันคือการทำหน้าที่เป็นนักวิจารณ์เกมฟุตบอล ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องคำวิจารณ์ที่ดุดันและตรงไปตรงมา

เสียงสะท้อนจากแฟนบอล

เหตุการณ์นี้จุดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในหมู่แฟนบอล บางคนมองว่าแฟนบอลอิปสวิช ทาวน์ไม่ควรใช้ถ้อยคำรุนแรงกับรอย คีน แม้ว่าจะมีความหลังที่ไม่ดีต่อสโมสร แต่ก็มีแฟนบอลอีกส่วนหนึ่งที่รู้สึกว่านี่เป็นผลจากความไม่พอใจที่สะสมมายาวนานของแฟนบอลทีมเจ้าบ้าน

บทสรุปหลังเหตุการณ์

ในขณะที่แฟนบอลยังคงถกเถียงกันถึงพฤติกรรมของทั้งสองฝ่าย รอย คีนยังไม่ได้ออกมาให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ แต่สิ่งที่ชัดเจนคือ อารมณ์และความเป็นตัวตนที่ไม่เปลี่ยนแปลงของเขา ยังคงสร้างสีสันและดราม่าให้กับวงการฟุตบอลได้ไม่ว่าจะอยู่ในบทบาทใด

การปะทะกันครั้งนี้ไม่เพียงสะท้อนความร้อนแรงของเกมฟุตบอลอังกฤษ แต่ยังย้ำให้เห็นว่า รอย คีน ยังคงเป็นบุคคลที่ไม่มีใครเพิกเฉยได้ในวงการฟุตบอล แม้จะวางมือจากการคุมทีมไปนานกว่า 10 ปีแล้ว

อโมริมเปิดใจถึงแรชฟอร์ด-คาเซมิโรหลักพักเบรกทีมชาติ

0

รูเบน อโมริม กุนซือชาวโปรตุเกสของทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ออกมาแสดงความคิดเห็นถึงประเด็นที่สองแข้งชื่อดังของทีมอย่าง มาร์คัส แรชฟอร์ด และ คาเซมิโร เลือกเดินทางไปพักผ่อนที่สหรัฐอเมริกาในช่วงพักเบรกทีมชาติ ขณะที่เพื่อนร่วมทีมคนอื่น ๆ ยังคงปักหลักซ้อมอย่างต่อเนื่องที่แคร์ริงตัน

กรณีที่ทำให้เกิดกระแสวิจารณ์

สำหรับแรชฟอร์ดและคาเซมิโร ซึ่งไม่ได้ถูกเรียกติดทีมชาติในช่วงฟีฟ่าเดย์ล่าสุด ตัดสินใจใช้เวลาพักเบรกบินไปพักผ่อนยังประเทศสหรัฐอเมริกา การตัดสินใจดังกล่าวสร้างกระแสไม่พอใจในหมู่แฟนบอลบางกลุ่ม เนื่องจากทั้งสองคนถูกมองว่าควรอยู่ฝึกซ้อมกับสโมสรเพื่อแก้ไขปัญหาฟอร์มการเล่นของทีมที่ยังไม่สม่ำเสมอในฤดูกาลนี้

อย่างไรก็ตาม กรณีนี้เกิดขึ้นจากการอนุญาตของสโมสรตั้งแต่ก่อนที่อโมริมจะเข้ามารับตำแหน่ง ทำให้กุนซือชาวโปรตุเกสเลือกชี้แจงเพื่อเคลียร์ข้อสงสัย

คำพูดของรูเบน อโมริม

อโมริมได้กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า

“ในฐานะสโมสร เราจำเป็นต้องมีมาตรฐานที่ชัดเจนและบริหารจัดการเรื่องเหล่านี้ให้เหมาะสม การอนุญาตให้นักเตะพักผ่อนในช่วงเบรกทีมชาติเป็นเรื่องที่ต้องวางแผนล่วงหน้า และผมเชื่อว่ามันควรมีข้อกำหนดที่ชัดเจน เช่น นักเตะควรจะได้รับอนุญาตให้พัก 3 วัน หรือ 5 วัน และอาจต้องมีข้อห้ามว่าพักได้แค่ในพื้นที่ใดเท่านั้น”

เขากล่าวเพิ่มเติมว่า

“ในกรณีนี้ ผมยอมรับว่าผมจะตั้งกฎเกณฑ์ที่แตกต่างจากที่เป็นอยู่แน่นอน หากผมได้จัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นครั้งนี้ไม่ใช่ความผิดของนักเตะ พวกเขาเพียงทำตามที่สโมสรอนุญาตไว้ล่วงหน้า ซึ่งทำให้พวกเขามีสิทธิ์ที่จะไปพักผ่อนในแบบที่พวกเขาต้องการ”

สัญญาณการเปลี่ยนแปลงในอนาคต

อโมริมยังชี้ว่าจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงมาตรฐานและแนวทางปฏิบัติของสโมสรในอนาคต เพื่อสร้างความเป็นมืออาชีพและลดปัญหาการตัดสินใจที่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์

“พวกเขาโตพอที่จะตัดสินใจเอง แต่ในฐานะสโมสร เราจำเป็นต้องสร้างมาตรฐานใหม่ที่ชัดเจนและเข้มงวดกว่านี้ เพื่อให้ทุกคนอยู่ในกรอบที่เหมาะสม”

เสียงสะท้อนจากแฟนบอล

การออกมาชี้แจงของรูเบน อโมริมถือเป็นความพยายามในการลดความขัดแย้งระหว่างนักเตะและแฟนบอล แต่กรณีนี้ยังคงเป็นจุดถกเถียงในหมู่แฟน ๆ ว่า นักเตะระดับซีเนียร์อย่างแรชฟอร์ดและคาเซมิโร ควรแสดงความรับผิดชอบต่อสโมสรในช่วงที่ทีมกำลังเผชิญความยากลำบาก หรือควรได้รับสิทธิ์ในการพักผ่อนเพื่อฟื้นฟูร่างกายและจิตใจ

ในอนาคต คำพูดของอโมริมอาจนำไปสู่การตั้งมาตรฐานใหม่ที่เข้มงวดขึ้น และช่วยสร้างความเป็นเอกภาพภายในทีม ขณะเดียวกันก็ต้องติดตามว่าแนวทางการบริหารจัดการนี้จะส่งผลต่อฟอร์มของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในระยะยาวอย่างไร

ห้ามพลาด!