Home Blog Page 7

สรุปผลบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ สัปดาห์ที่ 11

0

สัปดาห์ที่ 11 ของพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2024-2025 ได้เสร็จสิ้นลงแล้ว โดยมีการแข่งขันที่น่าสนใจและผลลัพธ์ที่ส่งผลต่ออันดับตารางคะแนนอย่างมาก เรามาสรุปผลการแข่งขันของแต่ละคู่กันดังนี้:

วันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2024

เวสต์แฮม ยูไนเต็ด 0-0 เอฟเวอร์ตัน

เบรนท์ฟอร์ด 3-2 บอร์นมัธ

คริสตัล พาเลซ 0-2 ฟูแล่ม

วูล์ฟแฮมป์ตัน 2-0 เซาแธมป์ตัน

ไบรท์ตัน 2-1 แมนเชสเตอร์ ซิตี้

ลิเวอร์พูล 2-0 แอสตัน วิลล่า

วันอาทิตย์ที่ 10 พฤศจิกายน 2024

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 3-0 เลสเตอร์ ซิตี้

ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ 1-2 อิปสวิช ทาวน์

น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ 1-3 นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด

เชลซี 1-1 อาร์เซนอล

ตกรอบแรก MLS Cup! ไมอามีพลาดท่าพ่ายแอตแลนตา

0

การแข่งขัน MLS Cup ที่เต็มไปด้วยความคาดหวังจากแฟน ๆ ทั่วโลกจบลงแบบไม่เป็นใจสำหรับ อินเตอร์ ไมอามี และ ลิโอเนล เมสซี เมื่อทีมต้องพ่ายให้กับ แอตแลนตา ยูไนเต็ด อย่างไม่คาดฝัน ส่งผลให้ไมอามีต้องตกรอบแรกอย่างน่าผิดหวัง แม้เมสซีจะเป็นผู้เล่นที่ได้รับการจับตามองมากที่สุดในฤดูกาลนี้ แต่สุดท้ายแล้วทีมไม่สามารถฝ่าด่านแรกของการแข่งขันไปได้

ในเกมนี้ ไมอามี พยายามเปิดเกมบุกและสร้างโอกาสโดยมีเมสซีเป็นตัวหลักในการขับเคลื่อนเกมรุก แต่แอตแลนตา ยูไนเต็ด วางแท็คติกมาอย่างเฉียบขาดและเข้มข้น ไม่เปิดโอกาสให้เมสซีและเพื่อนร่วมทีมได้ทำเกมตามที่ต้องการ แนวรับของแอตแลนตายังทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมในการตัดเกมรุกของไมอามี จนทำให้ไมอามีไม่สามารถแสดงศักยภาพตามที่คาดหวังได้

ผลการแข่งขันในครั้งนี้ไม่เพียงแต่ทำให้เมสซีและไมอามีต้องผิดหวัง แต่ยังสะท้อนถึงปัญหาในการจัดการเกมที่พึ่งพาการเล่นของผู้เล่นคนเดียวมากเกินไป โดยเฉพาะเมสซี ซึ่งเป็นทั้งตัวสร้างเกมและทำประตู การพึ่งพิงนี้ทำให้เมื่อเมสซีถูกจับทางได้หรือถูกประกบติด ทีมก็ขาดความหลากหลายในการทำเกมและไม่สามารถตอบสนองการเล่นได้อย่างที่ควร

การตกรอบแรกในครั้งนี้อาจเป็นการเตือนใจให้ไมอามีต้องกลับมาประเมินยุทธวิธีและการจัดตัวผู้เล่นใหม่ หากหวังจะกลับมาแข็งแกร่งในฤดูกาลหน้า ทีมต้องพัฒนาความสมดุลให้เกิดขึ้นทั้งเกมรุกและเกมรับ และต้องสร้างระบบที่สามารถรับมือกับคู่แข่งได้โดยไม่พึ่งพาผู้เล่นเพียงคนเดียว การพลาดท่าในครั้งนี้อาจเป็นบทเรียนสำคัญที่ช่วยให้ไมอามีกลับมาพร้อมแผนการเล่นที่แข็งแกร่งและหลากหลายยิ่งขึ้น

“รุด ฟาน นิสเตลรอยนัดสุดท้ายก่อนส่งงาน”

0

รุด ฟาน นิสเตลรอย ตำนานกองหน้าของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เตรียมทำหน้าที่คุมทีม “ปีศาจแดง” นัดสุดท้ายในฐานะผู้จัดการทีมชั่วคราว ก่อนที่จะส่งตำแหน่งกุนซือถาวรให้กับรูเบน อโมริม โค้ชหนุ่มไฟแรงจากสปอร์ติ้ง ลิสบอน ผู้ถูกเลือกมาเพื่อพลิกฟื้นทีมให้กลับมาสู่เส้นทางแห่งความสำเร็จอีกครั้ง

หลังจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดประสบปัญหาในการหากุนซือที่เหมาะสมเพื่อสร้างทีมให้แข็งแกร่ง ฟาน นิสเตลรอย ซึ่งเป็นหนึ่งในขวัญใจแฟนบอล ได้เข้ามารับหน้าที่ชั่วคราวด้วยความตั้งใจที่จะเสริมสร้างขวัญกำลังใจและจัดระเบียบทีมอย่างมีประสิทธิภาพ ในระยะเวลาสั้นๆ ที่เขาคุมทีม ฟาน นิสเตลรอยได้นำพาสไตล์การเล่นที่เฉียบคมและเข้าใจเกมรุกอย่างลึกซึ้ง มาผสานกับจิตวิญญาณของแมนฯ ยูไนเต็ด ส่งผลให้ทีมสามารถรักษาระดับการเล่นและผ่านช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านได้อย่างไม่สะดุด

เกมสุดท้ายของฟาน นิสเตลรอยในบทบาทกุนซือชั่วคราวเป็นที่คาดหมายว่าจะได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากแฟนๆ ที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด บรรยากาศภายในสนามคาดว่าจะเต็มไปด้วยการเชียร์และการปรบมือชื่นชม เนื่องจากเขาไม่เพียงแต่เป็นอดีตนักเตะในตำนาน แต่ยังเป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือทีมในยามที่ต้องการผู้ชี้นำ

หลังจากนัดนี้ รูเบน อโมริม จะเข้ามารับตำแหน่งกุนซือถาวร โดยอโมริมมีชื่อเสียงในเรื่องการสร้างสรรค์ฟุตบอลเชิงรุก และความสามารถในการพัฒนาเยาวชนซึ่งเข้ากับปรัชญาของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คาดว่าเขาจะนำแนวทางใหม่มาปรับใช้กับทีมเพื่อพัฒนาและยกระดับความสามารถของผู้เล่นรุ่นใหม่ อีกทั้งยังมีความสามารถในการสร้างทีมที่เล่นอย่างมีระบบและมีความยืดหยุ่น ซึ่งถือเป็นคุณสมบัติที่แฟนบอล “ปีศาจแดง” รอคอย

แม้ว่าฟาน นิสเตลรอยจะลงจากตำแหน่ง แต่ความทุ่มเทและความผูกพันที่เขามีต่อสโมสรจะยังคงเป็นสิ่งที่แฟนบอลจดจำ การส่งมอบบทบาทให้กับอโมริมจึงถือเป็นสัญญาณการเริ่มต้นบทใหม่ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และเชื่อว่าแฟนบอลจะเฝ้าดูการเติบโตของทีมภายใต้ยุคสมัยของอโมริมด้วยความหวัง

วิเคราะห์ก่อนเกม แมนซิตี้ vs ไบรท์ตัน ศึกแห่งการบุก!

0

แฟนบอลพรีเมียร์ลีกกำลังจะได้ชมการปะทะกันของสองทีมที่เล่นเกมรุกได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจเมื่อแชมป์เก่าอย่าง “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เปิดสนามเอติฮัด สเตเดี้ยม รับการมาเยือนของ “นกนางนวล” ไบรท์ตัน ทีมที่พัฒนาฟอร์มการเล่นได้ดีอย่างต่อเนื่อง เกมนี้น่าจะเต็มไปด้วยจังหวะบุกที่รวดเร็วและการเข้าทำที่เฉียบคม โดยทั้งสองทีมต่างต้องการคว้าสามแต้มเพื่อเสริมความมั่นใจในการลุ้นอันดับท็อปของตาราง

สถานการณ์ของทั้งสองทีม

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ภายใต้การคุมทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ยังคงโชว์ฟอร์มได้แข็งแกร่ง แม้ว่าจะมีปัญหาผู้เล่นบาดเจ็บในแผงหลังบ้าง แต่การทำเกมรุกจากเควิน เดอ บรอยน์ และการเข้าทำที่อันตรายจากเออร์ลิ่ง ฮาลันด์ ยังคงเป็นจุดแข็งที่ทำให้พวกเขามีโอกาสคว้าชัยในทุกเกม

ทางด้าน ไบรท์ตัน ภายใต้การนำของ โรแบร์โต้ เด แซร์บี้ เป็นทีมที่เล่นบอลอย่างเป็นระบบและเน้นเกมรุก พวกเขามีนักเตะที่พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วอย่าง คาโอรุ มิโตมะ และ เอแวน เฟอร์กูสัน ที่จะทำให้เกมรุกของไบรท์ตันมีความอันตรายในการโต้กลับ ซึ่งจะสร้างความท้าทายให้กับแผงหลังของซิตี้ที่ต้องป้องกันเกมบุกของทีมเยือน

แท็คติกและการเล่นที่น่าจับตามอง

  1. การครองบอลและการคุมจังหวะของแมนฯ ซิตี้: ซิตี้มีความสามารถในการครองบอลและคุมเกมที่ยอดเยี่ยม โดยเฉพาะจากมิดฟิลด์ตัวหลักอย่าง โรดรี้ และเควิน เดอ บรอยน์ การครองบอลของซิตี้จะเป็นกุญแจสำคัญในการควบคุมจังหวะของเกมและลดโอกาสของไบรท์ตันในการโต้กลับเร็ว
  2. จังหวะโต้กลับเร็วของไบรท์ตัน: ไบรท์ตันเป็นทีมที่มีจังหวะโต้กลับเร็วและมีการเล่นที่ไม่กลัวการครองบอลมากเกินไป เมื่อนักเตะอย่าง มิโตมะ และเฟอร์กูสัน ได้จังหวะ จะสามารถโจมตีแมนฯ ซิตี้ได้อย่างน่ากลัว การสวนกลับของพวกเขาอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้ไบรท์ตันมีโอกาสทำประตูในเกมนี้
  3. การเข้าทำของเออร์ลิ่ง ฮาลันด์: ฮาลันด์คืออาวุธสำคัญของแมนฯ ซิตี้ในฤดูกาลนี้ ด้วยความสามารถในการจบสกอร์ที่เฉียบขาด เขาจะเป็นภัยต่อแผงหลังของไบรท์ตันซึ่งต้องวางแผนรับมืออย่างดี โดยเฉพาะการประกบติดเพื่อไม่ให้เขามีพื้นที่ในการยิงประตู
  4. การป้องกันที่แน่นหนาของไบรท์ตัน: ไบรท์ตันอาจจะต้องปรับแผนเกมรับเพื่อไม่ให้แมนฯ ซิตี้สร้างโอกาสยิงประตูมากเกินไป การวางตำแหน่งนักเตะให้รับมือกับแดนกลางของซิตี้โดยเฉพาะเดอ บรอยน์และแบร์นาร์โด้ ซิลวา จะเป็นความท้าทายที่ไบรท์ตันต้องรับมือ

ทำนายผลและความเป็นไปได้

แม้ว่าการเจอกันของทั้งสองทีมจะมีความต่างในเชิงคุณภาพของผู้เล่น แต่ไบรท์ตันก็เป็นทีมที่แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งในการทำเกมรุกในหลายแมตช์ที่ผ่านมา การเล่นแบบเน้นการสวนกลับเร็วของไบรท์ตันอาจสร้างปัญหาให้กับแมนฯ ซิตี้ได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ด้วยความได้เปรียบของเจ้าบ้านและฟอร์มของฮาลันด์ คาดว่าแมนฯ ซิตี้จะสามารถเก็บชัยชนะไปได้ที่สกอร์ 3-1

เกมนี้อาจมีประตูจากการยิงไกลหรือจังหวะโต้กลับจากทั้งสองทีม ทำให้แฟนบอลได้ชมเกมรุกที่ดุเดือดและการบุกเข้าทำประตูที่น่าตื่นเต้น

วิเคราะห์ก่อนเกม ลิเวอร์พูล พบ แอสตัน วิลล่า

0

วันแห่งการดวลที่น่าติดตามกำลังจะเกิดขึ้นที่สนามแอนฟิลด์เมื่อ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล เตรียมเปิดบ้านต้อนรับ “สิงห์ผงาด” แอสตัน วิลล่า ในเกมพรีเมียร์ลีกที่สำคัญ เกมนี้ถือเป็นศึกใหญ่ที่ทั้งสองทีมต่างต้องการสามคะแนนเพื่อรักษาโอกาสในการแย่งตำแหน่งพื้นที่ฟุตบอลยุโรป ทำให้การแข่งขันนี้เป็นมากกว่าแค่เกมลีกธรรมดา

สถานการณ์ของทั้งสองทีม

ลิเวอร์พูลของกุนซือ เจอร์เก้น คล็อปป์ กำลังฟอร์มดีในลีก โดยเฉพาะการโจมตีที่ดุดัน นำโดยสามประสานอย่าง โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ดาร์วิน นูนเญซ และหลุยส์ ดิอาซ ซึ่งในเกมล่าสุดได้แสดงให้เห็นถึงความลงตัวและความเฉียบขาดในการทำประตู แม้จะมีปัญหาบ้างในแผงหลังที่ยังไม่แน่นหนาอย่างที่ควรจะเป็น

ขณะที่ฝั่งแอสตัน วิลล่าภายใต้การคุมทีมของ อูไน เอเมรี่ พัฒนาฟอร์มการเล่นได้อย่างน่าประทับใจ โดยเฉพาะการใช้ระบบ 4-2-3-1 ที่มีการเล่นเกมรับเหนียวแน่นและใช้จังหวะโต้กลับเป็นอาวุธหลัก โอลลี่ วัตกินส์ ในตำแหน่งกองหน้าและ มุสซ่า ดิอาบี้ ที่คอยป่วนเกมรับของคู่แข่งจะเป็นตัวแปรสำคัญในเกมนี้

แท็คติกและการเล่นที่น่าจับตามอง

  1. แผงมิดฟิลด์ของลิเวอร์พูล: ลิเวอร์พูลน่าจะเน้นการคุมเกมแดนกลางผ่านนักเตะอย่าง โดมินิค โซบอสไล และ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ ที่มีความสามารถในการสร้างสรรค์เกมและปั้นจังหวะเข้าทำให้กับกองหน้า พวกเขาต้องพยายามครองบอลและป้องกันไม่ให้แอสตัน วิลล่า มีโอกาสโต้กลับอย่างรวดเร็ว
  2. การเล่นเกมรับของแอสตัน วิลล่า: แอสตัน วิลล่ามักจะถอยเกมรับอย่างรวดเร็วและแน่นหนาในแดนตัวเอง ซึ่งน่าจะสร้างความลำบากให้กับลิเวอร์พูลในการเจาะแผงหลังของทีมเยือน การตั้งรับและรอจังหวะสวนกลับอันรวดเร็วโดยเฉพาะการผ่านบอลสั้นให้มุสซ่า ดิอาบี้และจังหวะเข้าทำของ โอลลี่ วัตกินส์ คือจุดเด่นที่ลิเวอร์พูลต้องระวัง
  3. จุดอ่อนในการป้องกันลูกเซ็ตพีซของลิเวอร์พูล: แนวรับของลิเวอร์พูลมักมีปัญหากับการตั้งรับลูกตั้งเตะ เกมนี้วิลล่าอาจใช้ลูกเซ็ตพีซเป็นจุดโจมตีเพื่อหวังโอกาสทำประตูจากจังหวะนี้ การเข้าทำของกองหลังที่ขึ้นมาเสริมอย่าง ไทโรน มิงส์ จะเป็นอีกหนึ่งตัวแปรที่ทีมลิเวอร์พูลต้องระวัง
  4. ฟอร์มของโมฮาเหม็ด ซาลาห์: ซาลาห์ถือว่าเป็นกำลังหลักของลิเวอร์พูลในฤดูกาลนี้ ความสามารถในการตัดเข้าในและยิงประตูทำให้เขาเป็นภัยต่อกองหลังของแอสตัน วิลล่า หากทีมเจ้าบ้านสามารถเปิดเกมบุกและสร้างพื้นที่ให้กับซาลาห์ได้ ก็น่าจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของเกม

ทำนายผลและความเป็นไปได้

การพบกันระหว่างทั้งสองทีมมักจะเป็นเกมที่มีการยิงประตูกันอย่างมาก และด้วยฟอร์มการเล่นปัจจุบันของทั้งสองทีม คาดว่าจะเป็นเกมที่เปิดแลกกันอย่างดุเดือด ลิเวอร์พูลแม้จะได้เปรียบในฐานะทีมเหย้า แต่จะต้องเจอกับความเหนียวแน่นในการตั้งรับและการโต้กลับที่อันตรายของแอสตัน วิลล่า

คาดการณ์ว่าเกมนี้อาจจบลงด้วยผลเสมอที่สกอร์สูง เช่น 2-2 หรือ 3-3 แต่ถ้าหากลิเวอร์พูลสามารถครองเกมในแดนกลางได้และใช้จังหวะเข้าทำที่เฉียบขาด อาจทำให้พวกเขาคว้าชัยชนะในบ้านได้อีกครั้ง

“เอ็มบัปเป้ เริ่มไม่พอใจบทบาทหน้าเป้าที่เรอัล”

0

คีเลียน เอ็มบัปเป้ ศูนย์หน้าดาวรุ่งของเรอัล มาดริด เริ่มแสดงความไม่พอใจในการเล่นตำแหน่งหน้าเป้าแบบดั้งเดิม โดยเขาต้องการบทบาทที่เปิดโอกาสให้เขามีอิสระในการเคลื่อนที่มากกว่าเดิม เอ็มบัปเป้รู้สึกว่าการยืนเป็นศูนย์หน้าเพียงอย่างเดียวจำกัดศักยภาพและสไตล์การเล่นของเขา ซึ่งปกติแล้วเขาชอบวิ่งตัดเข้าจากด้านข้างและสร้างสรรค์เกมมากกว่า สถานการณ์นี้อาจนำไปสู่การปรับแท็กติกของโค้ชหรือการพิจารณาปรับบทบาทในทีม

คีเลียน เอ็มบัปเป้ เริ่มแสดงความต้องการที่จะเล่นในตำแหน่งปีกมากกว่าบทบาทหน้าเป้าในระบบของทีม ซึ่งทำให้เขารู้สึกว่าไม่สามารถใช้ศักยภาพได้เต็มที่ ด้วยสไตล์การเล่นของเอ็มบัปเป้ที่เน้นความเร็วและการเคลื่อนที่จากด้านข้าง การถูกจำกัดให้เล่นเป็นหน้าเป้าอาจทำให้เขาไม่สามารถเล่นได้อย่างอิสระตามธรรมชาติ นักวิเคราะห์มองว่าการเปลี่ยนตำแหน่งอาจทำให้เอ็มบัปเป้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและส่งผลดีต่อทีม

“ดาวรุ่งพุ่งแรงในยุโรป ดึงดูดความสนใจจากทีมยักษ์ใหญ่!”

0

วิคตอร์ เกียวเกเรส กองหน้าชาวสวีเดนวัย 25 ปี ที่ปัจจุบันเล่นให้กับ สปอร์ติ้ง ลิสบอน โชว์ฟอร์มโดดเด่นในลีกโปรตุเกสหลังย้ายจากโคเวนทรี ซิตี้ในอังกฤษเมื่อซัมเมอร์ที่ผ่านมา ด้วยความสามารถด้านการจบสกอร์ที่เฉียบคมและการเลี้ยงบอลทะลุทะลวง เกียวเกเรสกลายเป็นหัวหอกคนสำคัญของสปอร์ติ้ง และช่วยทีมรั้งอันดับสูงในลีก นอกจากนี้ ฝีเท้าและความสม่ำเสมอของเขายังดึงดูดความสนใจจากหลายสโมสรในยุโรป โดยเฉพาะจากพรีเมียร์ลีก ที่มีข่าวว่าหลายทีมกำลังจับตามอง

เกียวเกเรสได้สร้างชื่อจากฟอร์มอันยอดเยี่ยมตั้งแต่เล่นกับโคเวนทรี ซิตี้ในแชมเปียนชิป ซึ่งเขาทำไป 21 ประตูในฤดูกาล 2022/23 ทำให้สปอร์ติ้ง ลิสบอนตัดสินใจดึงตัวมาด้วยค่าตัวสูงถึง 20 ล้านยูโร ในโปรตุเกส เขาเริ่มต้นได้อย่างน่าประทับใจด้วยการยิงประตูสำคัญในเกมใหญ่ รวมถึงมีบทบาทในเกมรุกที่สร้างสรรค์ ซึ่งถือเป็นสไตล์ที่หายากในกองหน้าสมัยใหม่

สไตล์การเล่นของเกียวเกเรส
เขามีความเร็ว แข็งแกร่ง และยังเชี่ยวชาญการครองบอลในแดนหน้า เกียวเกเรสมีจุดเด่นในเรื่องการใช้ความสามารถส่วนตัวเพื่อสร้างโอกาสการยิง และมีการเคลื่อนที่ตัดแนวรับคู่แข่งที่ยอดเยี่ยม นอกจากนี้เขายังมีความเป็นทีมเวิร์กสูง คอยทำหน้าที่เชื่อมเกมให้เพื่อนร่วมทีมได้ดี ซึ่งช่วยให้เขาปรับตัวได้รวดเร็วกับแผนการเล่นของสปอร์ติ้ง

อนาคตของเกียวเกเรส
ด้วยฟอร์มที่ดีนี้ ทำให้มีข่าวว่าเขากำลังได้รับความสนใจจากหลายสโมสรในลีกใหญ่ของยุโรป โดยเฉพาะในพรีเมียร์ลีก ซึ่งอาจเป็นลีกที่เขาเองก็มีประสบการณ์มาก่อน ทั้งนี้มีโอกาสสูงที่เขาจะกลายเป็นหนึ่งในกองหน้าที่น่าจับตามองในตลาดซื้อขายนักเตะครั้งถัดไป

“อามาด ดียาโล เหมา 2 ประตูในศึกยูโรปาลีก”

0

อามาด ดียาโล โชว์ฟอร์มเยี่ยมในเกมยูโรปาลีก พาแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้าชัยชนะนัดสำคัญด้วยสกอร์ 2-0 เหนือพีเอโอเค โดยเขาเปิดสกอร์ช่วงต้นครึ่งหลังด้วยลูกโหม่งสวยงาม และเสริมประตูปิดท้ายด้วยการยิงโค้งจากนอกเขต ทำให้ทีมได้ชัยชนะเป็นครั้งแรกในฤดูกาลนี้ ภายใต้การคุมทีมของโค้ชคนใหม่ รูเบน อาโมริม ซึ่งแฟนบอลหวังว่าแมตช์นี้จะเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ของทีมในยุโรปด้วย​

อามาด ดียาโล กองกลางดาวรุ่งของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กลายเป็นฮีโร่ในเกมยูโรปาลีกนัดล่าสุดกับพีเอโอเค ด้วยสองประตูที่สร้างความแตกต่างให้กับทีมอย่างชัดเจน ลูกโหม่งแรกของเขาเกิดขึ้นเพียง 5 นาทีหลังครึ่งหลังเริ่มขึ้น ซึ่งช่วยปลดล็อคเกมที่ตึงเครียดได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ไม่เพียงเท่านั้น ดียาโลยังสร้างความประทับใจด้วยการยิงปิดเกมในนาทีที่ 77 จากการวางเท้าที่ยอดเยี่ยม ส่งบอลโค้งเข้าสู่มุมตาข่ายอย่างสวยงาม ทำให้ทีมมั่นใจขึ้นอย่างมากหลังจากผลงานที่ย่ำแย่ในช่วงที่ผ่านมา​

เรอัล มาดริด กำลังพิจารณาปลด อันเชล็อตติ

0

รายงานจากสื่อในสเปนเผยว่า เรอัล มาดริด กำลังพิจารณาตัดสินใจครั้งสำคัญเกี่ยวกับการปลด คาร์โล อันเชล็อตติ ออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีม หากผลงานของทีมยังไม่ดีขึ้นในเร็วๆ นี้

สำหรับฤดูกาลปัจจุบัน เรอัล มาดริด ทำผลงานได้อย่างน่าผิดหวัง โดยเฉพาะในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา พวกเขาไม่สามารถเก็บชัยชนะในบ้านซานติอาโก เบร์นาเบว ได้เลย รวมถึงพ่ายแพ้ต่อบาร์เซโลน่า 0-4 ในศึก “เอล กลาซิโก” และล่าสุดต้องพบความพ่ายแพ้ในเกมยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีกกับเอซี มิลาน 1-3 เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายนที่ผ่านมา

จากข้อมูลของ “เรเลโบ” สื่อสเปน ระบุว่า บอร์ดบริหารของมาดริดกำลังพิจารณาอย่างจริงจังถึงตำแหน่งของอันเชล็อตติ ซึ่งกำลังเผชิญกับความกดดันอย่างหนัก โดยหากผลงานไม่ปรับตัวในระยะสั้น เขาอาจต้องแยกทางกับสโมสรในช่วงไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า

นอกจากนี้ ยังมีรายงานถึงความขัดแย้งระหว่าง อันเชล็อตติ กับ คีลิยัน เอ็มบัปเป นักเตะฝรั่งเศสที่เพิ่งย้ายมาร่วมทีมในฤดูกาลนี้ โดยแหล่งข่าวระบุว่า อันเชล็อตติ ไม่พอใจในความพยายามของเอ็มบัปเป โดยเฉพาะในช่วงที่ไม่มีบอล ซึ่งเขามองว่าเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อทีม

ทั้งนี้ อันเชล็อตติ ได้ขยายสัญญากับมาดริดถึงเดือนมิถุนายน 2026 แต่สถานการณ์ปัจจุบันยังไม่แน่นอน แม้ว่าเขาจะเคยตกเป็นข่าวเชื่อมโยงกับตำแหน่งกุนซือทีมชาติบราซิล แต่เจ้าตัวเลือกที่จะอยู่กับ “ราชันชุดขาว” ต่อไป

รูเบน อโมริม คุมทัพ ‘ปีศาจแดง’ เป็นหมุดหมายสำคัญ

0

พอล สโคลส์ ตำนานกองกลางของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ออกมาชื่นชมการแต่งตั้ง รูเบน อโมริม เป็นกุนซือคนใหม่ของ “ปีศาจแดง”

โดยระบุว่า นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่สโมสรสามารถดึงตัวโค้ชที่เป็นที่ต้องการของหลายทีมใหญ่ในยุโรปได้สำเร็จ ถือเป็นการเสริมทัพที่น่าตื่นเต้นและเต็มไปด้วยความหวังสำหรับแฟนบอล

รูเบน อโมริม ผู้สร้างผลงานโดดเด่นกับสปอร์ติ้ง ลิสบอนในโปรตุเกส ได้รับการจับตามองจากหลายสโมสรยักษ์ใหญ่ในยุโรป สโคลส์กล่าวอย่างมั่นใจว่า การที่แมนยูคว้าตัวเขามาร่วมงานได้เป็นเรื่องที่แฟนบอลควรตื่นเต้น “ผมตื่นเต้นมาก ๆ กับดีลนี้ หลายปีที่ผ่านมาเราไม่ค่อยมีการดึงตัวกุนซือหรือผู้เล่นที่ทีมใหญ่อื่น ๆ ต้องการจริง ๆ ทีมใหญ่ ๆ อย่างบาร์เซโลนา แมนซิตี้ หรือแม้แต่ลิเวอร์พูล ไม่ได้ให้ความสนใจนักเตะหรือผู้จัดการที่เราดึงมาเท่าไหร่” สโคลส์กล่าว

สโคลส์ยังเผยว่า การคว้าตัวอโมริมทำให้ยูไนเต็ดดูแข็งแกร่งขึ้น และยังอาจทำให้ทีมคู่แข่งรู้สึกเสียดายที่พลาดโอกาสสำคัญไป “ในกรณีของรูเบน อโมริม ผมเชื่อว่าแฟนบอลของเราอาจเห็นหลาย ๆ ทีมมองเราด้วยสายตาที่อิจฉานิด ๆ เพราะเขาเป็นกุนซือหนุ่มที่มีคุณภาพ ทีมอย่างแมนซิตี้ยังคุยกับเขาไว้ในวันที่เป๊ป กวาร์ดิโอลาแยกทาง ซึ่งสะท้อนถึงคุณภาพของเขาได้อย่างดี นี่ไม่ใช่สิ่งที่เราเคยทำมาก่อนเลยจริง ๆ”

สโคลส์ยังพูดถึงการเลือกกุนซือในอดีตของทีมที่แตกต่างจากครั้งนี้อย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็น หลุยส์ ฟาน กัล ที่เข้ามาคุมทีมช่วงปลายอาชีพการเป็นกุนซือ หรือ โชเซ่ มูรินโญ่ ซึ่งถือว่าเป็นก้าวสุดท้ายของเขาในวงการฟุตบอลอังกฤษ การแต่งตั้งเหล่านี้อาจไม่ใช่ตัวเลือกที่ท้าทายหรือได้รับการจับตามองจากทีมอื่น ๆ เท่ากับกรณีของอโมริม

“นี่เป็นครั้งแรกที่เราทำให้รู้สึกว่า -ใช่เลย เรากำลังเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง- เราชิงตัวเขามาจากทีมอื่น ๆ ในยุโรปหลายทีมได้สำเร็จ มันเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมาก ๆ และผมแทบรอไม่ไหวที่จะเห็นเขาทำงานกับทีมของเรา” สโคลส์กล่าวทิ้งท้าย

การให้สัมภาษณ์ครั้งนี้ของสโคลส์นับเป็นความเห็นเชิงบวกที่น่าสนใจ เมื่อเทียบกับคำวิจารณ์ของเขาในสัปดาห์ก่อน ซึ่งเคยกล่าวถึงความกังวลใจในฝีมือของอโมริม นี่จึงอาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความหวังใหม่ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในการฟื้นฟูทีมให้กลับมาผงาดในยุโรปอีกครั้ง

ห้ามพลาด!