สัญญาณบางอย่างกำลังบอกเราว่า บทหนึ่งของประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกอาจใกล้ถึงตอนจบ
และตัวเอกของเรื่องนั้นคือ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้

ย้อนกลับไปเมื่อต้นปี 2017 ช่วงที่กุนซือชาวสเปนเพิ่งเข้ามาคุมทีมได้ไม่ครบหนึ่งฤดูกาล คำพูดสั้น ๆ ของเขากลับกลายเป็นประโยคที่ถูกหยิบมาพูดถึงซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ตั้งแต่วันนี้ การอำลาของผมได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว”

ในวันนั้น แทบไม่มีใครมองว่ามันคือคำประกาศจริงจัง ฝั่งสโมสรเองก็ไม่ได้ตั้งความหวังเกินไปนัก เป้าหมายหลักคือการยกระดับทีมภายในสัญญาแรก 3 ปี ส่วนความสำเร็จที่มากกว่านั้นถือเป็นกำไร แต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น กลับเกินกว่าคำว่า “คาดหวัง” ไปไกลมาก

เป๊ปไม่เพียงอยู่ครบสัญญา เขาเลือกปักหลักยาวเกือบสิบปี และสร้างหนึ่งในจักรวรรดิฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ลีกสูงสุดอังกฤษ แชมป์พรีเมียร์ลีก 6 สมัย พร้อมถ้วยรางวัลอีกนับไม่ถ้วน และจุดสูงสุดคือ ทริปเปิ้ลแชมป์ ปี 2023 ที่ยกระดับแมนฯ ซิตี้จากทีมลุ้นแชมป์ ให้กลายเป็นสโมสรระดับตำนานอย่างแท้จริง

อย่างไรก็ตาม ในฤดูกาลปัจจุบัน บรรยากาศเริ่มไม่เหมือนเดิม แหล่งข่าวหลายสำนักชี้ตรงกันว่า นี่อาจเป็นฤดูกาลสุดท้ายของเป๊ปในถิ่นเอติฮัด และครั้งนี้ไม่ใช่แค่กระแสลอย ๆ เพราะสโมสรเองก็เริ่มวางแผนสำหรับโลกที่ไม่มีเขายืนคุมข้างสนามแล้ว

หากวันนั้นมาถึงจริง สิ่งที่เป๊ปทิ้งไว้ ไม่ได้มีแค่ตู้ถ้วยที่แน่นจนแทบไม่มีที่วาง แต่คือ การเปลี่ยนโฉมฟุตบอลอังกฤษทั้งระบบ
ตอนเขาเข้ามาในปี 2016 แนวคิดการครองบอล เล่นกับพื้น และการสร้างเกมจากแนวหลัง เคยถูกตั้งคำถามว่าจะอยู่รอดในลีกที่ขึ้นชื่อเรื่องความเร็วและความดุดันได้อย่างไร

แต่ปัจจุบัน แนวคิดเหล่านั้นกลายเป็น “มาตรฐานใหม่” ของพรีเมียร์ลีก แทบทุกทีม ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ต่างได้รับอิทธิพลจากฟุตบอลแบบเป๊ป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการยืนตำแหน่ง การใช้พื้นที่ หรือการให้ผู้เล่นเข้าใจเกมมากกว่าบทบาทตายตัว

เขายังพิสูจน์ให้เห็นว่า ความสำเร็จไม่ได้มาจากการทุ่มเงินซื้อซูเปอร์สตาร์เพียงอย่างเดียว เพราะหากมองไปยังทีมที่ใช้เงินใกล้เคียงกันแต่ไม่ประสบผลลัพธ์ จะเห็นชัดว่าความต่างอยู่ที่ “กระบวนการ” และ “รายละเอียด” ที่เป๊ปใส่ลงไปในทุกองค์ประกอบของทีม

เควิน เดอ บรอยน์, โรดรี้, แบร์นาร์โด้ ซิลวา หรือ เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ ล้วนเป็นนักเตะระดับโลก แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขากลายเป็นฟันเฟืองของทีมที่แทบไม่เคยพัง คือระบบที่ถูกออกแบบมาอย่างแม่นยำ และมาตรฐานที่ไม่เคยผ่อนลงเลยแม้แต่น้อย
การคว้าแชมป์ลีก 6 จาก 7 ฤดูกาล คือหลักฐานที่ไม่ต้องการคำอธิบายเพิ่มเติม

แม้ในช่วง 1–2 ปีหลัง ซิตี้จะไม่ได้เหนือชั้นแบบไร้คู่แข่งเหมือนเดิม เปิดโอกาสให้อาร์เซน่อลและลิเวอร์พูลท้าทายมากขึ้น แต่เป๊ปยังแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการ “ถ่ายเลือด” ทีม เขาค่อย ๆ ปล่อยนักเตะรุ่นเก๋า และดันแข้งรุ่นใหม่ขึ้นมารับช่วงต่ออย่างมีแผน ไม่ใช่เพื่อระยะสั้น แต่เพื่อความยั่งยืนของสโมสร

เหตุผลของการจากลา อาจไม่ต่างจากกรณีของเยอร์เก้น คล็อปป์ ความเหนื่อยล้าจากการทำงานในระดับสูงสุดทุกวัน คือสิ่งที่เงินหรือความสำเร็จไม่อาจชดเชยได้

อีกหนึ่งมรดกสำคัญ คืออิทธิพลต่อผู้จัดการทีมรุ่นใหม่ทั่วโลก ปัจจุบัน กุนซือแถวหน้าแทบทุกคนต่างมี “DNA ของเป๊ป” อยู่ในแนวคิด ไม่ว่าจะเป็น มิเกล อาร์เตต้า, เอ็นโซ มาเรสก้า, แว็งซองต์ กอมปานี หรือ ชาบี อลอนโซ่ ซึ่งนี่คือปรากฏการณ์ที่แทบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ฟุตบอล

แน่นอนว่า ความยิ่งใหญ่ทั้งหมดนี้ยังถูกตั้งคำถามจากคดีการเงิน 115 ข้อหาที่ค้างคา และอาจส่งผลต่อภาพจำของสโมสรในอนาคต แต่สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือ สิ่งที่เกิดขึ้นในสนาม คือผลงานของนักเตะและกุนซือ และเป๊ปได้พิสูจน์ตัวเองมาแล้วกับทุกสโมสรที่เขาคุม

หากวันอำลามาถึงจริง พรีเมียร์ลีกจะเกิดช่องว่างขนาดมหาศาล และนั่นจะเป็นโอกาสของทุกทีมในการทวงคืนบัลลังก์
ส่วนแฟนแมนฯ ซิตี้ สิ่งเดียวที่ทำได้ คือหวังให้ปาฏิหาริย์การต่อสัญญาเกิดขึ้นอีกครั้ง

หรืออย่างน้อยที่สุด ได้เห็นการอำลาของชายคนนี้ จบลงพร้อมถ้วยแชมป์ เพื่อปิดฉากตำนานของกุนซือผู้เปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษไปตลอดกาล อย่างสมศักดิ์ศรี