Home Blog Page 15

ยามาลรับเบอร์ 10 บาร์ซ่าเตรียมต่อสัญญา-ตั้งค่าฉีกพันล้านยูโร

0

สื่อดังในสเปนรายงานว่า บาร์เซโลน่า เตรียมประกาศข่าวใหญ่ภายในซัมเมอร์นี้ ด้วยการมอบเสื้อหมายเลข 10 อันเป็นตำนานให้กับ ลามีน ยามาล ดาวรุ่งพรสวรรค์สูงวัย 17 ปี พร้อมขยายสัญญาระยะยาวผูกอนาคตกับทีม

ยามาล ซึ่งปัจจุบันสวมเสื้อหมายเลข 19 กลายเป็นความหวังใหม่ของ “อาซูลกราน่า” หลังสร้างผลงานโดดเด่นอย่างต่อเนื่องในฤดูกาลที่ผ่านมา โดยมีบทบาทสำคัญในการพาทีมคว้าแชมป์ภายในประเทศถึง 3 รายการ และได้รับการยกย่องให้เป็นทายาททางฟุตบอลของ ลิโอเนล เมสซี่ อย่างแท้จริง

รายงานจาก Memorabilia1899.co เผยว่า การเปลี่ยนหมายเลขเสื้อครั้งนี้เกิดขึ้นหลัง อันซู ฟาติ เจ้าของเบอร์ 10 คนปัจจุบัน เตรียมอำลาถิ่นคัมป์นูหลังจบฤดูกาล 2024/25 เนื่องจากปัญหาอาการบาดเจ็บที่ส่งผลต่อฟอร์มการเล่น จึงเปิดทางให้ยามาลก้าวขึ้นมาสวมเบอร์สำคัญของสโมสร

บาร์ซ่ามีแผนมอบสัญญาฉบับใหม่ให้กับปีกทีมชาติสเปนทันทีที่เขาอายุครบ 18 ปีในปีหน้า โดยประธานสโมสร โจน ลาปอร์ต้า มีเป้าหมายชัดเจนในการกันท่าเหล่าสโมสรเงินหนา ด้วยการวางค่าฉีกสัญญาฉบับใหม่สูงถึง 1,000 ล้านยูโร เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ซ้ำรอยกรณี เนย์มาร์ ที่ย้ายออกในปี 2017

การตัดสินใจครั้งนี้ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนเบอร์เสื้อ แต่ถือเป็นการส่งไม้ต่ออย่างเป็นทางการของหมายเลข 10 อันเป็นสัญลักษณ์ของแข้งระดับตำนาน ไม่ว่าจะเป็น ดีเอโก มาราโดน่า, ริวัลโด้, โรนัลดินโญ่ และแน่นอน ลิโอเนล เมสซี่ ที่เคยสร้างชื่อกับหมายเลขนี้ในถิ่นคัมป์นู


สรุปสถานการณ์:

  • ลามีน ยามาล เตรียมเปลี่ยนมาสวมเบอร์ 10 บาร์ซ่าในฤดูกาลหน้า
  • อันซู ฟาติ จะอำลาทีมหลังจบฤดูกาล 2024/25
  • บาร์เซโลน่าเตรียมต่อสัญญาระยะยาวกับยามาล พร้อมตั้งค่าฉีก 1 พันล้านยูโร
  • การมอบเบอร์ 10 เป็นสัญลักษณ์ความเชื่อมั่นจากสโมสร สู่การสืบทอดตำนานใหม่

ยามาลจะรับภาระความหวังของทีมในยุคเปลี่ยนผ่าน และทุกสายตาจะจับจ้องว่าเขาจะก้าวขึ้นมาแบกรับหมายเลขประวัติศาสตร์นี้ได้อย่างไรในฤดูกาลหน้า.

วิเคราะห์ก่อนเกม: แมนฯ ซิตี้ ปะทะ บอร์นมัธ

0

การแข่งขันพรีเมียร์ลีก อังกฤษ คืนวันจันทร์ที่ 20 พฤษภาคมนี้ “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เตรียมเปิดรังเอติฮัด สเตเดี้ยม ต้อนรับการมาเยือนของ บอร์นมัธ โดยเจ้าบ้านต้องการชัยชนะเพื่อไล่ล่าตั๋วแชมเปี้ยนส์ ลีก หลังเพิ่งพลาดแชมป์เอฟเอ คัพ ขณะที่ทีมเยือนยังมีลุ้นเล็กๆ กับการไปเล่นยูฟ่า คอนเฟอเรนซ์ ลีก


ความพร้อมก่อนเกม

แมนเชสเตอร์ ซิตี้
เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เตรียมโรเตชั่นนักเตะจากเกมที่พ่าย คริสตัล พาเลซ ในนัดชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ 0-1 โดยคาดว่าจะส่ง เอแดร์ซอน กลับมาลงเฝ้าเสาอีกครั้งแทน สเตฟาน ออร์เตก้า ส่วน มาเตโอ โควาซิช ยังต้องลุ้นความฟิต เช่นเดียวกับโอกาสของ เคลาดิโอ เอเชเวร์รี่ มิดฟิลด์อนาคตไกลชาวอาร์เจนไตน์ วัย 19 ปี ที่อาจได้ประเดิมสนามพรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรก หลังมีชื่อลงเล่นในถ้วยเอฟเอ คัพ มาแล้ว

บอร์นมัธ
ฝั่งของ อันโดนี่ อิราโอล่า เจอปัญหาผู้เล่นบาดเจ็บหลายราย ทั้ง อเล็กซ์ สกอตต์ (กรามหัก), หลุยส์ ซินิสเตร์ร่า, เอเนส อูนาล, ไรอัน คริสตี้ และ ดังโก้ วัตตาร่า ที่ยังไม่พร้อมใช้งาน อย่างไรก็ดี ดีน เฮาเซ่น กองหลังดาวรุ่งที่เตรียมย้ายไป เรอัล มาดริด จะได้โอกาสลงสนามอีกครั้ง ส่วน มิลอส เคอร์เคซ แบ็กซ้ายฮังการีที่กำลังตกเป็นข่าวกับ ลิเวอร์พูล ก็ยังคงมีบทบาทสำคัญในแนวรับ


รายชื่อ 11 ผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนาม

แมนฯ ซิตี้ (4-2-3-1):
เอแดร์ซอน – มาเตอุส นูเนส, รูเบน ดิอาส, ยอชโก้ กวาร์ดิโอล, นิโก้ โอเรลลี่ – นิโก้ กอนซาเลซ, อิลคาย กุนโดอัน – ซาวินโญ่, เควิน เดอ บรอยน์, โอมาร์ มาร์มูช – เออร์ลิง ฮาลันด์

บอร์นมัธ (4-2-3-1):
เกปา อาร์รีซาบาลาก้า – อดัม สมิธ, อิลลีย่า ซาบาร์นี่, ดีน เฮาเซ่น, มิลอส เคอร์เคซ – ลูอิส คุก, ไทเลอร์ อดัมส์ – อองตวน เซเมนโย่, จัสติน ไคลเวิร์ต, เจมส์ เทเวอร์เนียร์ – เอวานิลซอน


สถิติที่น่าสนใจ

  • ซิตี้ชนะรวดใน 7 เกมลีกหลังสุดที่พบกับบอร์นมัธในบ้าน ยิงได้รวม 10 ประตูใน 2 เกมหลังสุดที่เอติฮัด
  • บอร์นมัธพ่ายไปถึง 10 จาก 11 เกมเยือนล่าสุดในการเจอกับแมนฯ ซิตี้ รวมทุกรายการ
  • บอร์นมัธเคยเก็บผลเสมอ 3-3 ได้เพียงครั้งเดียวเมื่อปี 1989 ที่สนามเมน โร้ด ในระดับดิวิชั่น 2
  • ฤดูกาลนี้ บอร์นมัธเคยชนะซิตี้ 2-1 ที่บ้านตัวเองในลีก และหวังจะทำสถิติชนะ “เหย้า-เยือน” ครั้งแรก แต่แพ้ไปก่อนในเอฟเอ คัพ รอบก่อนรองฯ 1-2

บทวิเคราะห์เกม

ซิตี้กลับมาเล่นในบ้านด้วยความมุ่งมั่นเต็มเปี่ยมหลังผิดหวังจากเกมนัดชิงบอลถ้วย แต่อาจเจอความเหนื่อยล้าและแรงกดดันจากสถานการณ์ลุ้นท็อปโฟร์ บอร์นมัธภายใต้การคุมทีมของอิราโอล่า มีเกมเยือนที่แข็งแกร่ง และมักทำผลงานได้ดีเวลาเจอกับทีมใหญ่ มีโอกาสแบ่งแต้มจากเกมนี้หากรับแน่นและฉวยโอกาสจากจังหวะสวนกลับได้ดี

สกอร์ที่คาด: แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 1-1 บอร์นมัธ

โรนัลโด้ จูเนียร์ กด 2 ลูก พาโปรตุเกส U15 ซิวแชมป์โครเอเชีย

0

ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น! คริสเตียโน่ โรนัลโด้ จูเนียร์ ลูกชายของซูเปอร์สตาร์ชื่อดัง ยิงสองประตูสำคัญช่วยให้ทีมชาติโปรตุเกสรุ่นอายุไม่เกิน 15 ปี เอาชนะเจ้าภาพโครเอเชีย 3-2 ผงาดคว้าแชมป์รายการ วลัตโก มาร์โควิช ทัวร์นาเมนต์ ที่ประเทศโครเอเชีย

เกมนี้เป็นการลงสนามนัดที่ 4 ของหัวหอกวัย 14 ปีในนามทีมชาติ U15 ซึ่งเขาก็ไม่ทำให้แฟนบอลผิดหวัง โดยซัดประตูแรกด้วยลูกยิงสุดงามพุ่งชนคานเข้าไป พร้อมฉลองประตูด้วยท่าดีใจ “SIU” อันเป็นซิกเนเจอร์ของคุณพ่อระดับตำนานอย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้
ส่วนประตูที่สอง เจ้าตัวใช้ความสูงและการอ่านเกมโหม่งบอลเข้าไปอย่างเด็ดขาด กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของเกม

หลังจบเกม โรนัลโด้ ซีเนียร์ ซึ่งกำลังค้าแข้งกับอัล นาสเซอร์ ในลีกซาอุฯ ได้โพสต์คลิปจังหวะการทำประตูของลูกชายผ่าน Instagram พร้อมใส่อิโมจิ “🔥” แสดงความภาคภูมิใจอย่างเต็มเปี่ยม

ขณะเดียวกัน สื่อต่างประเทศรายงานว่า ผลงานของโรนัลโด้ จูเนียร์ ในระดับเยาวชนกำลังดึงดูดความสนใจจากหลายสโมสรใหญ่ในยุโรป โดยเฉพาะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อดีตต้นสังกัดของพ่อ อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามกันต่อไปว่า เส้นทางลูกหนังของเขาจะสามารถก้าวไปสู่ระดับเดียวกับผู้เป็นพ่อได้หรือไม่

ผลบอลพรีเมียร์ลีก: อาร์เซน่อลเฉือนนิวคาสเซิ่ล 1-0 ไรซ์ยิงชัย

0

เดแคลน ไรซ์ กลายเป็นฮีโร่อีกครั้ง หลังซัดประตูโทนในครึ่งหลัง พา “ไอ้ปืนใหญ่” อาร์เซน่อล เปิดเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม เบียดเอาชนะ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด 1-0 คว้า 3 คะแนนสำคัญ การันตีอันดับรองจ่าฝูงพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้อย่างเป็นทางการ

เกมนี้ มิเกล อาร์เตต้า ตัดสินใจพัก ไค ฮาแวร์ตซ์ ไว้ที่ม้านั่งสำรอง ขณะที่ เดแคลน ไรซ์ ฟิตทันกลับมาคุมแดนกลาง โดยมี เลอันโดร ทรอสซาร์, บูคาโย่ ซาก้า และ กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ ประสานงานในแนวรุก

ฝั่งทีมเยือน นิวคาสเซิ่ล ต้องขาด อเล็กซานเดอร์ อิซัค ที่มีอาการเจ็บเล็กน้อย คัลลั่ม วิลสัน จึงได้โอกาสลงล่าตาข่าย ร่วมกับ แอนโธนี่ กอร์ดอน และ ฮาร์วี่ย์ บาร์นส์

เกมช่วงต้นเปิดแลกกันสนุก นาทีที่ 6 ดาบิด ราย่า เกือบแจกของขวัญให้ทีมเยือน แต่ยังเซฟลูกยิงจ่อ ๆ ของ บรูโน่ กีมาไรช์ ได้หวุดหวิด

นาที 14 เจ้าบ้านเริ่มมีจังหวะลุ้น บูคาโย่ ซาก้า เปิดเตะมุมให้ โธมัส ปาร์เตย์ ขึ้นโขก แต่ติดเซฟของ นิค โป๊ป เช่นกัน

ช่วงท้ายครึ่งแรกยังไม่มีฝ่ายใดเฉียบคมพอ จบ 45 นาทีแรกเสมอกันอยู่ 0-0

เข้าสู่ครึ่งหลังนาที 55 แฟนบอลเจ้าถิ่นได้เฮ เมื่อ มาร์ติน โอเดการ์ด วางบอลให้ เดแคลน ไรซ์ ซัดไกลด้วยขวา บอลพุ่งเสียบเสาไกลอย่างสุดสวย กลายเป็นประตูที่ 9 ของมิดฟิลด์ทีมชาติอังกฤษในฤดูกาลนี้

แม้นิวคาสเซิ่ลจะพยายามตีเสมอ โดยมีจังหวะลุ้นจาก ฮาร์วี่ย์ บาร์นส์ และ โจ วิลล็อค แต่จบไม่คมพอ ขณะที่แนวรับเจ้าถิ่นยังคุมเกมไว้ได้อย่างแข็งแกร่ง

จบเกม อาร์เซน่อล เฉือนชนะ นิวคาสเซิ่ล 1-0 เก็บเพิ่มเป็น 71 คะแนน การันตีตำแหน่งรองจ่าฝูงเป็นปีที่สามติดต่อกัน ส่วน “สาลิกาดง” พลาดโอกาสแซงขึ้นอันดับสอง ยังคงมี 66 แต้ม เท่ากับ เชลซี และ แอสตัน วิลล่า ต้องลุ้นหนักกับตั๋วแชมเปี้ยนส์ลีกในช่วงโค้งสุดท้าย

ซาล่าห์ต่อสัญญาหงส์ 2 ปี ลั่นยังไม่ถอดใจล่าบัลลงดอร์

0

โมฮาเหม็ด ซาล่าห์ แนวรุกทีมชาติอียิปต์ของลิเวอร์พูล ออกมาเปิดใจหลังจากเซ็นสัญญาฉบับใหม่กับต้นสังกัดออกไปอีก 2 ปี โดยเจ้าตัวยืนยันชัดเจนว่าเป้าหมายสูงสุดของตนคือการคว้ารางวัลลูกบอลทองคำ หรือ “บัลลงดอร์” มาครองให้ได้สักครั้งในเส้นทางอาชีพ

ดาวยิงวัย 32 ปีทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในซีซั่นล่าสุด ช่วยให้ทัพ “หงส์แดง” ผงาดคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก พร้อมทำสถิติยิงไป 33 ประตู และแอสซิสต์อีก 23 ครั้งจากทุกรายการ จนมีชื่อเข้าชิงรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของ PFA และมีลุ้นคว้ารองเท้าทองคำของลีกอีกหนึ่งสมัย

ซาล่าห์ยังเป็นหนึ่งในตัวเต็งลุ้นรางวัลบัลลงดอร์ในปีนี้ หลังโชว์ฟอร์มอย่างต่อเนื่องแม้ในอดีตจะไม่เคยหลุดเกินอันดับ 5 ในการจัดอันดับสุดยอดนักเตะของโลก โดยเจ้าตัวยอมรับว่าเคยรู้สึกผิดหวัง แต่ตอนนี้เลือกที่จะโฟกัสกับสิ่งที่ควบคุมได้

“ครั้งหนึ่งผมเคยรู้สึกเหมือนจะบ้ากับเรื่องนี้ มันเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของเรา” ซาล่าห์เผยกับสื่อสโมสร
“คุณต้องเตือนตัวเองเสมอว่าคุณมีภารกิจที่ต้องทำให้สำเร็จในแต่ละฤดูกาล นั่นเป็นแรงผลักดันให้ผมทุ่มเทมากขึ้น”

“ผมอยากคว้าบัลลงดอร์สักวันหนึ่งจริง ๆ นี่คือความฝันที่ผมไม่เคยปิดบัง และผมจะไม่ยอมแพ้แน่นอน ถ้ามันไม่เกิดขึ้นก็ไม่เป็นไร แต่ปีนี้ผมรู้สึกว่าตัวเองมีโอกาสที่ดีมาก”

การต่อสัญญาของซาล่าห์ถือเป็นข่าวดีสำหรับแฟนบอลลิเวอร์พูล และยังส่งสัญญาณว่าดาวเตะรายนี้ยังมุ่งมั่นเต็มร้อยกับเป้าหมายระดับสูงทั้งในระดับสโมสรและส่วนตัว

เป๊ปยอมรับความพ่ายแพ้ ชื่นชมพาเลซคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ

0

เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยอมรับรู้สึกผิดหวังกับผลการแข่งขันในศึก เอฟเอ คัพ รอบชิงชนะเลิศ ที่ทีมของเขาพลาดท่าให้กับ คริสตัล พาเลซ พร้อมแสดงความยินดีกับแชมป์หน้าใหม่ที่คว้าถ้วยได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร

เกมที่เวมบลีย์จบลงด้วยชัยชนะของพาเลซ 1-0 จากประตูชัยของ เอเบเรชี่ เอเซ่ แม้ “เรือใบสีฟ้า” จะสร้างโอกาสได้มากมาย รวมถึงได้จุดโทษในครึ่งแรก แต่ โอมาร์ มาร์มูช ยิงไปติดเซฟของ ดีน เฮนเดอร์สัน นายทวารฟอร์มร้อนแรงของพาเลซ

หลังจบเกม กวาร์ดิโอล่า กล่าวในห้องแถลงข่าวว่า

“ขอแสดงความยินดีกับคริสตัล พาเลซ กับแชมป์เอฟเอ คัพครั้งแรก ถือเป็นก้าวสำคัญของสโมสร พวกเขาสมควรได้รับคำชื่นชม”

แม้ผลจะไม่เป็นใจ แต่กุนซือชาวสแปนิชยังมองเห็นข้อดีในฟอร์มของลูกทีม

“เราคุมเกมได้ดี โดยเฉพาะในเกมรับและการตัดเกมสวนกลับ แต่ขาดแค่ประตูเท่านั้น เราเล่นดีกว่าเกมกับเซาธ์แฮมป์ตัน เราเคลื่อนที่มากขึ้น สร้างโอกาสได้เยอะ แต่บอลไม่ยอมเข้าเอง”

เขายอมรับว่าแผนการเล่นล้มเหลวในแง่ผลลัพธ์ แม้ภาพรวมของฟอร์มจะไม่เลว

“เมื่อคุณยิงไม่ได้ คุณก็ไม่ชนะ นั่นคือความจริง แม้เราเล่นดีในหลายจังหวะ ผมไม่เสียใจ แต่ก็ต้องยอมรับความจริงตรงหน้า”

ในช่วงท้ายเกมมีจังหวะปัญหาเมื่อ ดีน เฮนเดอร์สัน มีจังหวะแฮนด์บอลนอกกรอบแต่รอดพ้นใบแดงไปได้ ซึ่งเป๊ปตอบสั้น ๆ ว่า

“เรื่องนี้ไปถามผู้ตัดสินเถอะ”

แม้จะผิดหวังกับผลการแข่งขัน แต่กุนซือซิตี้ยังคงมีเป้าหมายที่ต้องเดินหน้าต่อ โดยกล่าวทิ้งท้ายว่า

“เราต้องฟื้นตัวให้เร็ว เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับรอบชิงอีก 2 รายการที่เหลือ และลุ้นคว้าตั๋วแชมเปี้ยนส์ลีกให้ได้”

แรชฟอร์ดยอมลดค่าเหนื่อย หวังซบบาร์เซโลน่าซัมเมอร์นี้

0

มาร์คัส แรชฟอร์ด กองหน้าทีมชาติอังกฤษของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แสดงความตั้งใจชัดเจนในการย้ายไปค้าแข้งกับ บาร์เซโลน่า ในฤดูกาลหน้า โดยยินดีลดค่าเหนื่อยเพื่อให้การเจรจาเป็นไปได้ราบรื่นมากขึ้น

รายงานจาก Sport สื่อดังของสเปนระบุว่า ดาวยิงวัย 27 ปีเปิดใจอย่างเต็มที่กับโอกาสในการย้ายไปลาลีกา และมองว่าโปรเจกต์ของ ฮันซี่ ฟลิค ที่คัมป์ นู อาจเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ที่ช่วยให้เขากลับมาท็อปฟอร์มอีกครั้ง หลังฤดูกาลที่ไม่สู้ดีในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด

แหล่งข่าวใกล้ชิดระบุว่า แรชฟอร์ดถึงขั้นพร้อมลดค่าเหนื่อยของตนเองเพื่อให้การย้ายไปบาร์เซโลน่าเกิดขึ้นจริง จุดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจที่ชัดเจน เพราะเจ้าตัวไม่เคยพิจารณาเงื่อนไขลักษณะนี้กับสโมสรอื่น แม้จะได้รับความสนใจจากทีมในพรีเมียร์ลีกและซาอุดีอาระเบียก็ตาม

ย้อนกลับไปในช่วงตลาดเดือนมกราคมที่ผ่านมา แรชฟอร์ดเคยพยายามผลักดันการย้ายทีม โดยมีการหารือกับบาร์ซ่าเกี่ยวกับดีลยืมตัว แต่ขั้นตอนต่างๆ ถูกระงับไว้เมื่อยอดทีมจากกาตาลันเลือกมุ่งเน้นการต่อสัญญานักเตะภายในทีมเป็นหลัก

แรชฟอร์ดเคยถูกปล่อยให้ แอสตัน วิลล่า ยืมตัวใช้งาน ซึ่งเขามีส่วนร่วมในทีมอย่างต่อเนื่องก่อนจะประสบปัญหาบาดเจ็บ โดยแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดตั้งมูลค่าขายเขาไว้ที่ 40 ล้านปอนด์ ซึ่งแม้จะมีออปชั่นซื้อขาดในดีลของวิลล่า แต่รายงานล่าสุดเผยว่าทีมจากเบอร์มิงแฮมไม่พร้อมจ่ายค่าเหนื่อยระดับสูงตามที่แรชฟอร์ดคาดหวัง

ท่ามกลางความไม่แน่นอนเรื่องอนาคต แรชฟอร์ดกำลังพิจารณาทางเลือกที่เหมาะสมทั้งด้านกีฬาและชีวิตส่วนตัว โดยเขายังเปิดรับข้อเสนอจากสโมสรใหญ่ทั้งในอังกฤษและตะวันออกกลาง แต่เป้าหมายอันดับแรกยังคงเป็นการได้สวมเสื้อของบาร์เซโลน่าในฤดูกาลหน้า

ต้องติดตามกันต่อว่า “เจ้าบุญทุ่ม” จะขยับตัวจริงจังแค่ไหนในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า

แพ้อีกแล้ว! สเปอร์สพังคาวิลล่า 0-2 ทำสถิติเลวร้ายสุดตลอดกาล

0

ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ยังคงฟอร์มย่ำแย่ในช่วงโค้งสุดท้ายของฤดูกาล หลังบุกพ่าย แอสตัน วิลล่า 0-2 ในศึกพรีเมียร์ลีก นัดที่ 37 เมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา ส่งผลให้ทีมของ อังเก้ ปอสเตโคกลู ทำสถิติแพ้รวมทุกรายการถึง 25 นัดในซีซั่นเดียว เป็นจำนวนสูงสุดในประวัติศาสตร์สโมสร เทียบเท่ากับฤดูกาล 1991-92

เกมนี้ “ไก่เดือยทอง” มีการหมุนเวียนตัวผู้เล่นหลายตำแหน่ง เพื่อเก็บความสดไว้สำหรับเกมนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่จะมีขึ้นกลางสัปดาห์หน้า อย่างไรก็ตาม แผนโรเตชันกลับไม่เป็นผล เมื่อโดนเจ้าถิ่น แอสตัน วิลล่า ยิงสองประตูรวด คว้าชัยไปแบบไม่ยากเย็น

จากความพ่ายแพ้ในเกมนี้ ทำให้สเปอร์สยังคงมี 38 คะแนน รั้งอันดับ 17 ของตาราง และเผชิญความเสี่ยงที่จะจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ต่ำที่สุดในรอบหลายปี ขณะเดียวกัน ยังมีอีกหนึ่งสถิติที่น่าเป็นห่วง เมื่อทีมไม่สามารถเก็บคลีนชีตได้ติดต่อกันเป็นนัดที่ 12 นับเป็นสถิติที่แย่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 2010

ความพ่ายแพ้ต่อวิลล่ายังถือเป็นเครื่องเตือนก่อนเกมสำคัญในวันพุธที่ 21 พฤษภาคมนี้ ซึ่งพวกเขาจะลงสนามในเกมชิงดำ ยูโรป้า ลีก โดยมีเดิมพันเป็นตั๋วลุยยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาลหน้า หากคว้าแชมป์ได้

ผลบอลพรีเมียร์ลีก เชลซีดับผี 1-0 “ผีแดง” ไร้ชัย 8 นัดติด

0

วันที่ 17 พฤษภาคม – ศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ที่สนามสแตมฟอร์ด บริดจ์ เชลซี เปิดบ้านเฉือนชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-0 จากประตูชัยของ มาร์ค คูคูเรย่า ส่งผลให้ “สิงห์บลูส์” เก็บเพิ่มเป็น 66 คะแนนจาก 37 นัด แซง แอสตัน วิลล่า ขึ้นไปรั้งอันดับ 4 ด้วยผลต่างประตูได้เสียดีกว่า ขณะที่ “ปีศาจแดง” ฟอร์มในลีกยังไม่กระเตื้อง ไม่ชนะใครเป็นนัดที่ 8 ติดต่อกัน รั้งอันดับ 16 ของตาราง

รูปเกมโดยรวม

เอนโซ่ มาเรสก้า กุนซือเชลซีแก้ตัวจากเกมบุกแพ้ นิวคาสเซิ่ล 0-2 ด้วยการโรเตชั่นส่ง ไทริก จอร์จ หัวหอกวัย 19 ปี ลงแทน นิโคล่าส์ แจ็คสัน ขณะที่ฝั่งแมนฯ ยูไนเต็ด ของ รูเบน อโมริม ปรับทีม 5 จุดจากเกมพ่ายคาบ้านต่อเวสต์แฮม 0-2 โดย อ็องเดร โอนาน่า กลับมาเฝ้าเสา และ ลุค ชอว์ ประจำการแผงหลังร่วมกับ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ และ วิคเตอร์ ลินเดเลิฟ

ตลอดครึ่งแรก เชลซีเป็นฝ่ายเปิดเกมรุกใส่ มีโอกาสลุ้นหลายครั้ง ส่วนยูไนเต็ดแม้ครองบอลได้มากกว่าเล็กน้อย (53%) แต่โอกาสยิงมีเพียงครั้งเดียว จบ 45 นาทีแรกยังเสมอกัน 0-0

ไฮไลต์สำคัญครึ่งหลัง

  • นาที 52: อาหมัด ดิยัลโล่ ลากตัดเข้าใน ก่อนถวายพานให้ เมสัน เมาท์ ยิงเฉียดเสา
  • นาที 55: บรูโน่ แฟร์นันด์ส มีลุ้นยิงเน้นๆ แต่บอลลอยข้ามคานไปแบบน่าผิดหวัง
  • นาที 61: จังหวะชุลมุนในเขตโทษ เมื่อ อ็องเดร โอนาน่า พุ่งใส่ ไทริก จอร์จ ผู้ตัดสินเป่าเป็นจุดโทษในตอนแรก แต่ VAR ตรวจสอบแล้วพบว่า โอนาน่า ปัดโดนบอลก่อน ไม่ให้จุดโทษ
  • นาที 71: ประตูชัยเกิดขึ้นจากจังหวะที่ รีซ เจมส์ เปิดบอลเข้าเขตโทษให้ มาร์ค คูคูเรย่า เทกตัวโหม่งเข้าไปตุงตาข่าย เป็นประตูที่ 5 ของเจ้าตัวในฤดูกาลนี้
  • นาที 73: เชลซีเกือบได้ลูกที่สอง โคล พาลเมอร์ แทงทะลุให้ โนนี มาดูเอเก้ หลุดไปยิงหลุดกรอบอย่างไม่น่าเชื่อ
  • นาที 79: แมนยูมีลุ้นตีเสมอ อาหมัด ดิยัลโล่ โชว์สกิลเลี้ยงตัดจากขวาก่อนยิงเต็มข้อ แต่ โรเบิร์ต ซานเชซ เซฟไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม

ช่วงทดเจ็บ 7 นาทีสุดท้าย ทั้งสองทีมเปิดเกมแลกกันเต็มที่แต่ไม่มีประตูเพิ่ม จบเกม เชลซี คว้าชัยแบบหืดจับ 1-0 พร้อมขยับขึ้นพื้นที่แชมเปี้ยนส์ลีก


สถิติหลังจบเกม

  • เชลซี ชนะในลีก 4 จาก 5 นัดหลังสุด
  • แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ชนะในลีกมาแล้ว 8 นัดติดต่อกัน (เสมอ 3 แพ้ 5)
  • มาร์ค คูคูเรย่า ยิงประตูที่ 5 ของตัวเองในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้

11 ตัวจริงทั้งสองทีม

เชลซี (4-2-3-1):
โรเบิร์ต ซานเชซ – รีซ เจมส์, โทซิน อาดาราบิโอโย่, ลีวาย โคลวิลล์, มาร์ค คูคูเรย่า – มอยเซส ไคเซโด้, เอ็นโซ เฟร์นานเดซ – เปโดร เนโต้, โคล พาลเมอร์, โนนี มาดูเอเก้ – ไทริก จอร์จ

แมนฯ ยูไนเต็ด (3-4-2-1):
อ็องเดร โอนาน่า – วิคเตอร์ ลินเดเลิฟ, แฮร์รี่ แม็กไกวร์, ลุค ชอว์ – นุสแซร์ มาซราอุย, บรูโน่ แฟร์นันด์ส, กาเซมีโร่, พาทริค ดอร์กู – อาหมัด ดิยัลโล่, เมสัน เมาท์ – ราสมุส ฮอยลุนด์

อัล อิตติฮัด ทุบ อัล ราเอ็ด 3-1 คว้าแชมป์ลีกสมัยที่ 10

0

อัล อิตติฮัด ตอกย้ำความยิ่งใหญ่ในลีกซาอุดีอาระเบีย หลังการันตีคว้าแชมป์ ซาอุดิ โปร ลีก ฤดูกาล 2024/25 เป็นสมัยที่ 10 ได้สำเร็จ แม้ยังเหลือโปรแกรมให้ลงเล่นอีก 2 นัดก็ตาม

ในเกมนัดล่าสุดเมื่อคืนที่ผ่านมา ทัพ “เสือเหลือง” ภายใต้การนำของกัปตันทีมอย่าง คาริม เบนเซม่า บุกเยือน อัล ราเอ็ด และแม้จะเป็นฝ่ายตามหลังตั้งแต่ต้นเกม แต่ก็ตอบโต้กลับมาได้อย่างยอดเยี่ยม ก่อนจะเก็บชัยชนะด้วยสกอร์ 3-1

เกมเริ่มต้นได้เพียง 9 นาที เจ้าบ้าน อัล ราเอ็ด ได้ประตูออกนำก่อนจากลูกยิงของ อูมาร์ กอนซาเลซ อย่างไรก็ตาม ทีมเยือนไม่เสียขวัญ และกลับมาทำประตูตีเสมอในนาทีที่ 21 จากการยิงของ สตีเฟ่น เบิร์กไวจ์น

ก่อนหมดครึ่งแรกเพียง 5 นาที ดานิโล่ เปเรยร่า โขกพา อัล อิตติฮัด พลิกแซงเป็น 2-1 และเมื่อลงมาครึ่งหลังไม่ถึงสองนาที อับดุลราห์มาน อัล อาบูด ก็มากดประตูที่สาม ตอกย้ำชัยชนะให้ทีมเยือนแบบเด็ดขาด

ชัยชนะในเกมนี้ทำให้ อัล อิตติฮัด ขยับคะแนนขึ้นเป็น 77 แต้ม จาก 32 นัด ทิ้งห่างอันดับ 2 อย่าง อัล ฮิลาล อยู่ 9 คะแนน แม้อัล ฮิลาลจะยังแข่งน้อยกว่า 1 นัด แต่ในกรณีที่คะแนนเท่ากัน อัล อิตติฮัดก็ยังได้เปรียบในเฮดทูเฮด ทำให้สามารถคว้าแชมป์ได้อย่างเป็นทางการ

ด้าน อัล นาสเซอร์ ของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ สถานการณ์ไม่สู้ดีนัก หลังร่วงไปอยู่อันดับ 4 และกำลังสุ่มเสี่ยงต่อการชวดโควต้า AFC Champions League ในฤดูกาลหน้า

แชมป์ครั้งนี้ถือเป็นแชมป์ลีกสมัยที่ 10 ของ อัล อิตติฮัด และเป็นสัญญาณว่าโครงการ “บิ๊กโปรเจกต์” ของทีมในตลาดซื้อขาย รวมถึงการนำซูเปอร์สตาร์จากยุโรปมาเสริมทัพเริ่มส่งผลอย่างเป็นรูปธรรมแล้ว

ห้ามพลาด!