Home Blog Page 66

สถิติเผย“ฮาลันด์”ฟอร์มดรอปหลังเหน็บ“อาร์เตต้า”ให้เจียมตัว

0

สื่ออังกฤษเปิดเผยสถิติที่น่าตกใจเกี่ยวกับฟอร์มการทำประตูของ เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ ดาวยิงแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ลดลงอย่างชัดเจนนับตั้งแต่พูดเหน็บ มิเกล อาร์เตต้า ผู้จัดการทีมอาร์เซน่อล หลังเกมเสมอ 2-2 เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา

ในช่วงต้นฤดูกาล พรีเมียร์ลีก ฮาลันด์ โชว์ฟอร์มร้อนแรง ยิงไป 9 ประตูใน 4 เกมแรก รวมถึงทำแฮตทริกในเกมกับ อิปสวิช และ เวสต์แฮม เขายิงประตูที่ 10 ในเกมเสมออาร์เซน่อล และหลังจบเกมได้พูดเหน็บ อาร์เตต้า ด้วยคำว่า “จงถ่อมตัวไว้”

อย่างไรก็ตาม นับจากนั้น ฮาลันด์ดูเหมือนจะสูญเสียจังหวะการทำประตูตามมาตรฐานของเขาเอง โดยใน 7 เกมพรีเมียร์ลีกหลังจากนั้น เขาลงสนามครบ 90 นาทีทุกนัด แต่ทำได้เพียง 2 ประตู จากโอกาสยิงทั้งหมด 36 ครั้ง โดยมีเพียง 15 ครั้งที่เข้ากรอบ

สถิติ xG (จำนวนประตูที่คาดว่าจะเกิดขึ้น) ของเขาในช่วง 7 เกมหลัง อยู่ที่ 8.03 ประตู หมายความว่าผลงานจริงของเขาต่ำกว่าความคาดหวังทางสถิติถึง 75% ซึ่งถือว่าต่ำผิดปกติสำหรับผู้เล่นระดับเขา

ในเกมล่าสุดที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ บุกไปพ่าย สเปอร์ส 0-4 ฮาลันด์มีโอกาสยิง 7 ครั้ง แต่ไม่สามารถทำประตูได้ ส่งผลให้ทีมพ่ายแพ้เป็นเกมที่ 5 ติดต่อกันในทุกรายการ ความตกต่ำนี้สร้างคำถามว่า ฮาลันด์ จะกลับมาทำลายล้างเกมรับคู่แข่งได้อีกเมื่อใด หรือคำพูดเหน็บแนมนั้นกลายเป็นแรงกดดันที่ย้อนกลับมาหาเขาเอง.

“ดาโลต์” พูดถึง “อโมริม” หลังประเดิมคุมแมนยูฯ

0

25 พฤศจิกายน 2567 – ดิโอโก ดาโลต์ กองหลังทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นหลังเกมที่ทีมบุกไปเสมอกับ อิปสวิช ทาวน์ 1-1 ในเกมพรีเมียร์ลีก นัดที่ถือเป็นการประเดิมคุมทีมนัดแรกของ รูเบน อโมริม ผู้จัดการทีมคนใหม่

ดิโอโก ดาโลต์ แบ็กขวาของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แสดงความคิดเห็นหลังเกมที่ทีมทำได้เพียงบุกเสมออิปสวิช ทาวน์ 1-1 ซึ่งถือเป็นการประเดิมคุมทีมนัดแรกของ รูเบน อโมริม โดยดาโลต์กล่าวว่า “ผลเสมอในวันนี้ถือว่ายุติธรรม เพราะเราควรเล่นได้ดีกว่านี้ และเมื่อเราเสียประตู เราเองก็มีโอกาสที่จะกลับมานำ แต่เราทำไม่สำเร็จ”

เขายังพูดถึงการทำงานของอโมริมว่า “แผนการเล่นของเขาสร้างอิมแพ็คได้ทันที แต่เราจำเป็นต้องเรียนรู้และปรับใช้ให้ได้จริงในสนามเพื่อเข้าใกล้ชัยชนะมากขึ้น นี่คือสิ่งที่ทีมต้องพัฒนาต่อไป.”

รอย คีนเดือด! ปะทะแฟนบอลอิปสวิชฯ หลังเกมเสมอ

0

25 พฤศจิกายน 2567 – หลังจากเกมที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด บุกไปเสมอ อิปสวิช ทาวน์ 1-1 ในศึกแชมเปียนชิพ อังกฤษ เหตุการณ์ที่ถูกพูดถึงอย่างมากกลับไม่ใช่เรื่องของเกมในสนาม แต่เป็นการปะทะกันนอกสนามของ รอย คีน ตำนานกัปตันทีมแมนยูฯ และอดีตกุนซืออิปสวิช ทาวน์ กับกลุ่มแฟนบอลเจ้าถิ่น

จุดเริ่มต้นของความวุ่นวาย

รอย คีน ซึ่งทำหน้าที่นักวิเคราะห์เกมให้กับ Sky Sports ในเกมดังกล่าว ได้เจอกับกลุ่มแฟนบอลอิปสวิช ทาวน์ ที่ตะโกนถ้อยคำรุนแรงใส่หลังเกม โดยเหตุการณ์เริ่มต้นขึ้นเมื่อแฟนบอลรายหนึ่งตะโกนคำพูดหยาบคายใส่คีนว่า

“ไอ้รอย คีน ไปตxยซะ!”

คำพูดดังกล่าวทำให้อดีตกัปตันผู้เกรี้ยวกราดของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โกรธถึงขั้นตอบโต้ทันที โดยตะโกนกลับไปว่า

“รอก่อน แล้วไปเจอกันที่ลานจอดรถ!”

แฟนบอลที่ก่อเหตุกลับแสดงท่าทีสะใจที่ทำให้รอย คีนหลุดอารมณ์ได้ ขณะที่เหตุการณ์นี้ถูกบันทึกไว้โดยแฟนบอลที่อยู่ในเหตุการณ์ และคลิปดังกล่าวถูกโพสต์ลง X (Twitter) จนกลายเป็นไวรัลที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง

ความสัมพันธ์ที่ไม่ราบรื่นระหว่างรอย คีน กับอิปสวิช ทาวน์

ความเดือดครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพราะรอย คีนมีประวัติที่ไม่น่าจดจำกับสโมสรอิปสวิช ทาวน์ ย้อนกลับไปในช่วงปี 2009-2011 คีนเคยคุมทีมอิปสวิช ทาวน์ลงสนามทั้งหมด 81 นัด โดยมีสถิติชนะ 28 นัด แพ้ 28 นัด และเสมอ 25 นัด ซึ่งผลงานที่ไม่โดดเด่นนี้ทำให้เขาถูกปลดออกจากตำแหน่งในต้นปี 2011

ตั้งแต่ถูกปลดออกจากตำแหน่งคุมทีม รอย คีนก็ไม่ได้กลับมาทำงานในฐานะผู้จัดการทีมอีกเลย โดยบทบาทหลักของเขาในปัจจุบันคือการทำหน้าที่เป็นนักวิจารณ์เกมฟุตบอล ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องคำวิจารณ์ที่ดุดันและตรงไปตรงมา

เสียงสะท้อนจากแฟนบอล

เหตุการณ์นี้จุดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในหมู่แฟนบอล บางคนมองว่าแฟนบอลอิปสวิช ทาวน์ไม่ควรใช้ถ้อยคำรุนแรงกับรอย คีน แม้ว่าจะมีความหลังที่ไม่ดีต่อสโมสร แต่ก็มีแฟนบอลอีกส่วนหนึ่งที่รู้สึกว่านี่เป็นผลจากความไม่พอใจที่สะสมมายาวนานของแฟนบอลทีมเจ้าบ้าน

บทสรุปหลังเหตุการณ์

ในขณะที่แฟนบอลยังคงถกเถียงกันถึงพฤติกรรมของทั้งสองฝ่าย รอย คีนยังไม่ได้ออกมาให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ แต่สิ่งที่ชัดเจนคือ อารมณ์และความเป็นตัวตนที่ไม่เปลี่ยนแปลงของเขา ยังคงสร้างสีสันและดราม่าให้กับวงการฟุตบอลได้ไม่ว่าจะอยู่ในบทบาทใด

การปะทะกันครั้งนี้ไม่เพียงสะท้อนความร้อนแรงของเกมฟุตบอลอังกฤษ แต่ยังย้ำให้เห็นว่า รอย คีน ยังคงเป็นบุคคลที่ไม่มีใครเพิกเฉยได้ในวงการฟุตบอล แม้จะวางมือจากการคุมทีมไปนานกว่า 10 ปีแล้ว

อโมริมเปิดใจถึงแรชฟอร์ด-คาเซมิโรหลักพักเบรกทีมชาติ

0

รูเบน อโมริม กุนซือชาวโปรตุเกสของทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ออกมาแสดงความคิดเห็นถึงประเด็นที่สองแข้งชื่อดังของทีมอย่าง มาร์คัส แรชฟอร์ด และ คาเซมิโร เลือกเดินทางไปพักผ่อนที่สหรัฐอเมริกาในช่วงพักเบรกทีมชาติ ขณะที่เพื่อนร่วมทีมคนอื่น ๆ ยังคงปักหลักซ้อมอย่างต่อเนื่องที่แคร์ริงตัน

กรณีที่ทำให้เกิดกระแสวิจารณ์

สำหรับแรชฟอร์ดและคาเซมิโร ซึ่งไม่ได้ถูกเรียกติดทีมชาติในช่วงฟีฟ่าเดย์ล่าสุด ตัดสินใจใช้เวลาพักเบรกบินไปพักผ่อนยังประเทศสหรัฐอเมริกา การตัดสินใจดังกล่าวสร้างกระแสไม่พอใจในหมู่แฟนบอลบางกลุ่ม เนื่องจากทั้งสองคนถูกมองว่าควรอยู่ฝึกซ้อมกับสโมสรเพื่อแก้ไขปัญหาฟอร์มการเล่นของทีมที่ยังไม่สม่ำเสมอในฤดูกาลนี้

อย่างไรก็ตาม กรณีนี้เกิดขึ้นจากการอนุญาตของสโมสรตั้งแต่ก่อนที่อโมริมจะเข้ามารับตำแหน่ง ทำให้กุนซือชาวโปรตุเกสเลือกชี้แจงเพื่อเคลียร์ข้อสงสัย

คำพูดของรูเบน อโมริม

อโมริมได้กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า

“ในฐานะสโมสร เราจำเป็นต้องมีมาตรฐานที่ชัดเจนและบริหารจัดการเรื่องเหล่านี้ให้เหมาะสม การอนุญาตให้นักเตะพักผ่อนในช่วงเบรกทีมชาติเป็นเรื่องที่ต้องวางแผนล่วงหน้า และผมเชื่อว่ามันควรมีข้อกำหนดที่ชัดเจน เช่น นักเตะควรจะได้รับอนุญาตให้พัก 3 วัน หรือ 5 วัน และอาจต้องมีข้อห้ามว่าพักได้แค่ในพื้นที่ใดเท่านั้น”

เขากล่าวเพิ่มเติมว่า

“ในกรณีนี้ ผมยอมรับว่าผมจะตั้งกฎเกณฑ์ที่แตกต่างจากที่เป็นอยู่แน่นอน หากผมได้จัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นครั้งนี้ไม่ใช่ความผิดของนักเตะ พวกเขาเพียงทำตามที่สโมสรอนุญาตไว้ล่วงหน้า ซึ่งทำให้พวกเขามีสิทธิ์ที่จะไปพักผ่อนในแบบที่พวกเขาต้องการ”

สัญญาณการเปลี่ยนแปลงในอนาคต

อโมริมยังชี้ว่าจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงมาตรฐานและแนวทางปฏิบัติของสโมสรในอนาคต เพื่อสร้างความเป็นมืออาชีพและลดปัญหาการตัดสินใจที่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์

“พวกเขาโตพอที่จะตัดสินใจเอง แต่ในฐานะสโมสร เราจำเป็นต้องสร้างมาตรฐานใหม่ที่ชัดเจนและเข้มงวดกว่านี้ เพื่อให้ทุกคนอยู่ในกรอบที่เหมาะสม”

เสียงสะท้อนจากแฟนบอล

การออกมาชี้แจงของรูเบน อโมริมถือเป็นความพยายามในการลดความขัดแย้งระหว่างนักเตะและแฟนบอล แต่กรณีนี้ยังคงเป็นจุดถกเถียงในหมู่แฟน ๆ ว่า นักเตะระดับซีเนียร์อย่างแรชฟอร์ดและคาเซมิโร ควรแสดงความรับผิดชอบต่อสโมสรในช่วงที่ทีมกำลังเผชิญความยากลำบาก หรือควรได้รับสิทธิ์ในการพักผ่อนเพื่อฟื้นฟูร่างกายและจิตใจ

ในอนาคต คำพูดของอโมริมอาจนำไปสู่การตั้งมาตรฐานใหม่ที่เข้มงวดขึ้น และช่วยสร้างความเป็นเอกภาพภายในทีม ขณะเดียวกันก็ต้องติดตามว่าแนวทางการบริหารจัดการนี้จะส่งผลต่อฟอร์มของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในระยะยาวอย่างไร

เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ยอมรับความพ่ายแพ้ต่อสเปอร์ส 0-4

0

เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เปิดใจหลังทีมพ่ายแพ้ต่อ ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ส 0-4 ในเกมพรีเมียร์ลีกเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งนับเป็นความพ่ายแพ้ในทุกรายการติดต่อกันเป็นนัดที่ 5 และเป็นครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์นี้ในยุคการคุมทีมของกุนซือชาวสเปน

ไม่เพียงแค่นั้น ความพ่ายแพ้ครั้งนี้ยังหยุดสถิติไม่แพ้ในบ้านนานกว่า 2 ปีของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทำให้สถานการณ์ในตารางคะแนนพรีเมียร์ลีกยิ่งน่ากังวล โดยทีม “เรือใบสีฟ้า” ยังคงรั้งอันดับ 2 มี 23 แต้ม แต่ตามหลังจ่าฝูงอย่างลิเวอร์พูลถึง 5 คะแนน ทั้งที่ลงแข่งมากกว่าหนึ่งนัด

คำให้สัมภาษณ์หลังเกมของเป๊ป

หลังความพ่ายแพ้ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ให้สัมภาษณ์อย่างตรงไปตรงมา โดยยอมรับว่าสถานการณ์ตอนนี้เต็มไปด้วยความยากลำบาก

“เราต้องเผชิญหน้ากับความเป็นจริงและยอมรับมัน เกมนี้เราแพ้ขาดลอยถึง 0-4 มันไม่มีข้อแก้ตัวใด ๆ ทั้งสิ้น”

กวาร์ดิโอล่ากล่าวต่อว่า

“ในรอบ 8 ปีที่ผ่านมา เราไม่เคยเผชิญหน้ากับสถานการณ์แบบนี้ ผมรู้ดีว่าความพ่ายแพ้จะต้องมาถึงสักวัน แต่มันเป็นเรื่องยากที่จะคาดคิดว่าเราจะแพ้ถึง 3 นัดติดต่อกันในพรีเมียร์ลีก”

เขายังย้ำว่าความสำเร็จที่ทีมเคยสร้างไว้นั้นไม่ได้ยืนยาวตลอดไป

“ผู้คนอาจเริ่มเข้าใจแล้วว่าสิ่งที่เราทำมาตลอด 8 ปีนั้นมันยากแค่ไหน เราเคยรักษาความสม่ำเสมออย่างน่าเหลือเชื่อ แต่ตอนนี้เราต้องยอมรับว่าไม่มีอะไรยืนยงในวงการฟุตบอล”

เกมสำคัญกับลิเวอร์พูลในสัปดาห์หน้า

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มีโปรแกรมสำคัญในพรีเมียร์ลีกนัดถัดไป โดยต้องออกไปเยือนถิ่นแอนฟิลด์ของลิเวอร์พูล ซึ่งเป็นสนามที่ซิตี้เคยเอาชนะได้เพียง 3 ครั้งในช่วง 43 ปีที่ผ่านมา

เมื่อถูกถามถึงความสำคัญของเกมนี้และโอกาสในการรักษาความหวังในการลุ้นแชมป์ เป๊ปกล่าวว่า

“หากลิเวอร์พูลชนะในเกมนี้ แน่นอนว่าพวกเขาจะยิ่งตอกย้ำสถานการณ์ของเราให้ยากขึ้นไปอีก ผมไม่สามารถคาดการณ์อะไรได้ในตอนนี้ สิ่งเดียวที่เราทำได้คือพยายามชนะในเกมสำคัญแบบนี้”

เป๊ปยอมรับว่าสภาพจิตใจของทีมกำลังอยู่ในช่วงเปราะบาง แต่ก็เน้นว่าทีมจำเป็นต้องเผชิญหน้ากับปัญหา

“ผมอยากบอกว่าการแพ้ 3 นัดในพรีเมียร์ลีกนั้นไม่ใช่เรื่องเล็ก มีหลายรายละเอียดที่เราต้องแก้ไข และเราต้องยอมรับว่าเรากำลังเผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบาก”

บทสรุปที่ต้องเผชิญหน้า

แม้เป๊ปจะเน้นย้ำถึงความสำเร็จในอดีต แต่เขาก็ยอมรับว่าวงการฟุตบอลเป็นเรื่องของการปรับตัวและการเผชิญหน้ากับความท้าทายใหม่ ๆ

“ชีวิตก็เป็นแบบนี้ เราต้องเรียนรู้จากสิ่งที่เกิดขึ้นและเดินหน้าต่อไป ผมรู้ว่าเรายังมีศักยภาพ แต่เราต้องพิสูจน์มันในสนาม”

เกมนัดถัดไปของแมนฯ ซิตี้กับลิเวอร์พูลจะเป็นบทพิสูจน์สำคัญว่าพวกเขาจะสามารถพลิกสถานการณ์และกลับมาสู่เส้นทางลุ้นแชมป์ได้หรือไม่ หรือจะต้องยอมรับว่าความยิ่งใหญ่ในพรีเมียร์ลีกของพวกเขากำลังจะสิ้นสุดลงในฤดูกาลนี้?

ยอดกองหน้าชาวอุรุกวัยแห่งทีมอินเตอร์ ไมอามี

0

หลุยส์ ซัวเรซ (Luis Alberto Suárez Díaz) ชื่อนี้คงคุ้นหูแฟนบอลทั่วโลกในฐานะหนึ่งในกองหน้าที่ดีที่สุดในยุคของเขา จากผลงานอันยอดเยี่ยมที่สร้างไว้กับหลายสโมสรระดับโลก วันนี้เรามาทำความรู้จักเส้นทางการค้าแข้งและจุดเด่นของเขาให้มากขึ้น รวมถึงบทบาทปัจจุบันในฐานะนักเตะของ อินเตอร์ ไมอามี ทีมดังแห่งเมเจอร์ลีก ซอคเกอร์

ชีวิตและเส้นทางฟุตบอลของหลุยส์ ซัวเรซ

หลุยส์ ซัวเรซ เกิดเมื่อวันที่ 24 มกราคม 1987 ที่เมืองซัลโต ประเทศอุรุกวัย ปัจจุบันอายุ 37 ปี และสูง 182 เซนติเมตร ซัวเรซเริ่มต้นเส้นทางฟุตบอลกับทีมเยาวชนของ นาซิอองนาล ในอุรุกวัย ก่อนจะได้รับโอกาสย้ายไปยุโรปในปี 2006 กับสโมสรโกรนิงเกนในลีกเนเธอร์แลนด์

ก้าวสำคัญในเส้นทางอาชีพเกิดขึ้นเมื่อปี 2011 เมื่อเขาย้ายไปร่วมทีม ลิเวอร์พูล ด้วยค่าตัว 22.8 ล้านปอนด์ ซัวเรซกลายเป็นดาวยิงคนสำคัญของทีม และด้วยความสามารถเฉพาะตัวและสถิติการทำประตูที่ยอดเยี่ยม ทำให้เขาถูก บาร์เซโลน่า ดึงตัวไปร่วมทีมในปี 2014 ด้วยค่าตัว 64 ล้านปอนด์ ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในจุดสูงสุดในอาชีพค้าแข้งของเขา

ในปี 2020 ซัวเรซย้ายไป แอตเลติโก มาดริด แบบไม่มีค่าตัว แต่ยังสร้างความประทับใจได้ต่อเนื่อง ก่อนจะกลับไปเล่นให้กับนาซิอองนาลในปี 2022 และล่าสุดในปี 2024 เขาได้ย้ายมาเล่นให้ อินเตอร์ ไมอามี ในเมเจอร์ลีกซอคเกอร์ ด้วยค่าเหนื่อยประมาณ 1.5 ล้านดอลลาร์ต่อปี

ผลงานและสถิติที่น่าทึ่ง

ตลอดอาชีพการค้าแข้งกว่า 20 ปี หลุยส์ ซัวเรซ ได้รับการยอมรับในฐานะหนึ่งในกองหน้าที่ครบเครื่องที่สุดในโลก เขามีทักษะการทำประตูที่เฉียบคม ความคิดสร้างสรรค์ในการเล่น และความแข็งแกร่งทางร่างกายที่ช่วยให้เขาสร้างความได้เปรียบในสนาม

ในฤดูกาล 2024 กับอินเตอร์ ไมอามี ซัวเรซลงเล่นไปแล้ว 34 นัด และยิงได้ 24 ประตู ซึ่งถือเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยม แม้จะอยู่ในช่วงปลายอาชีพ นอกจากนี้ ในทีมชาติอุรุกวัย ซัวเรซลงเล่นทั้งหมด 137 นัด ยิงได้ 68 ประตู และถือเป็นดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของทีมชาติ ก่อนประกาศอำลาการเล่นทีมชาติในเดือนกันยายน 2024

จุดเด่นของหลุยส์ ซัวเรซ

  1. การจบสกอร์ที่เฉียบคม
    ซัวเรซเป็นกองหน้าที่มีความแม่นยำในการยิงสูง ทั้งการยิงในกรอบเขตโทษ ลูกยิงไกล หรือการโหม่ง
  2. ความคิดสร้างสรรค์และการจ่ายบอล
    นอกจากการทำประตู เขายังมีความสามารถในการสร้างโอกาสให้เพื่อนร่วมทีม ด้วยการจ่ายบอลที่แม่นยำและไหวพริบในเกมรุก
  3. ความแข็งแกร่งและความดุดัน
    ซัวเรซมีความมุ่งมั่นเต็มร้อยในทุกเกม เขาพร้อมชนและเบียดกับกองหลังคู่แข่งได้อย่างไม่เกรงกลัว
  4. การเคลื่อนที่และการอ่านเกม
    ซัวเรซเป็นนักเตะที่ฉลาดในการเคลื่อนที่ เขาสามารถหาพื้นที่ว่างและอยู่ในจุดที่สร้างความได้เปรียบให้ตัวเองและทีมเสมอ

บั้นปลายอาชีพที่ยังคงน่าติดตาม

แม้จะอยู่ในช่วงบั้นปลายอาชีพค้าแข้ง แต่หลุยส์ ซัวเรซยังคงเป็นนักเตะที่สามารถสร้างความแตกต่างในสนามได้ เขามีแพสชั่นและความมุ่งมั่นในทุกเกมที่ลงเล่น ทำให้แฟนบอลทั่วโลกยังคงเฝ้าติดตามผลงานของเขา

หลุยส์ ซัวเรซไม่เพียงแต่เป็นตำนานในวงการฟุตบอล แต่ยังเป็นตัวอย่างของนักเตะที่มีความกระหายชัยชนะอยู่เสมอ ไม่ว่าจะลงเล่นที่ยุโรปหรือเมเจอร์ลีก ความสำเร็จในสนามของเขายังคงเป็นสิ่งที่แฟนบอลจดจำได้เสมอ

“ซัวเรซยังไม่หมดไฟ” คำนี้อาจยังคงใช้ได้ในทุกนัดที่เขาลงสนามกับอินเตอร์ ไมอามี!

แมนยูเล็ง นูโน่ เมนเดส เสริมทัพแบ็กซ้าย

0

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กำลังพิจารณาคว้าตัว นูโน่ เมนเดส แบ็กซ้ายของปารีส แซงต์-แชร์กแมง เพื่อแก้ปัญหาในแนวรับฝั่งซ้าย หลังเฮดโค้ชคนใหม่ รูเบน อโมริม ระบุว่านี่เป็นจุดที่ต้องปรับปรุงเป็นอันดับแรก

สถานการณ์ในทีมปัจจุบันบีบให้ “ปีศาจแดง” มองหาตัวเลือกใหม่ในตำแหน่งแบ็กซ้าย เนื่องจาก ไทเรลล์ มาลาเซีย ยังต้องเรียกความฟิตหลังพักรักษาอาการบาดเจ็บมานาน ขณะที่ ลุค ชอว์ แม้มีบทบาทสำคัญในแนวรับ แต่ด้วยวัย 29 ปีและประวัติอาการบาดเจ็บบ่อยครั้ง ทำให้เขาอาจถูกปรับไปเล่นเป็นเซ็นเตอร์แบ็กฝั่งซ้ายในระบบ 3-4-3 ซึ่งเป็นแผนหลักของอโมริม

นูโน่ เมนเดส ถือเป็นนักเตะที่อโมริมคุ้นเคยเป็นอย่างดี โดยทั้งคู่เคยร่วมงานกันที่ สปอร์ติ้ง ลิสบอน และช่วยพาทีมคว้าแชมป์ลีกโปรตุเกสในปี 2021 ก่อนที่เมนเดสจะย้ายไปร่วมทีมปารีสฯ ด้วยค่าตัว 31.5 ล้านปอนด์ในปี 2022 นักเตะวัย 21 ปีรายนี้ได้รับการยกย่องในฐานะแบ็กซ้ายจอมบุกที่โดดเด่นทั้งความเร็วและทักษะเกมรุก จนคว้ารางวัลนักเตะดาวรุ่งแห่งปีในลีกเอิงและพาทีมคว้าแชมป์ลีกได้ถึง 3 สมัย

ในขณะเดียวกัน แมนฯ ยูไนเต็ด ยังคงเผชิญความท้าทายในแนวรับที่เจอปัญหาอาการบาดเจ็บ และแนวรุกที่ยังต้องปรับปรุง หากอโมริมสามารถกระตุ้น มาร์คัส แรชฟอร์ด, ราสมุส ฮอยลุนด์ และ โจชัว เซิร์กซี ให้กลับมาอยู่ในฟอร์มที่ยอดเยี่ยมได้ ทีมอาจมีโอกาสพลิกสถานการณ์ในฤดูกาลนี้

การดึงเมนเดสกลับมาร่วมงานกับอโมริมอาจเป็นจิ๊กซอว์สำคัญที่ช่วยเสริมความสมดุลให้กับแมนฯ ยูไนเต็ด และเพิ่มความแข็งแกร่งในเกมรับได้อย่างชัดเจน

โปรแกรมศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีก วันเสาร์ที่ 23

0

ศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2024/25 เดินทางมาถึงนัดที่ 12 โดยในวันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2567 เหล่าแฟนบอลเตรียมรับชมเกมใหญ่ประจำสัปดาห์ได้แบบเต็มอิ่ม หลังจากพักเบรกทีมชาติ บรรดาทีมยักษ์ใหญ่ต่างลงสนามกันอย่างพร้อมเพรียง

บิ๊กแมตช์ประจำสัปดาห์: แมนฯ ซิตี้ ปะทะ สเปอร์ส
ที่สนามเอติฮัด สเตเดี้ยม “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ รองจ่าฝูงที่มี 23 คะแนน เตรียมเปิดบ้านรับมือ “ไก่เดือยทอง” ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ ทีมอันดับ 10 ที่เก็บได้ 16 คะแนน เกมนี้เริ่มคิกออฟเวลา 00.30 น. ตามเวลาประเทศไทย ซึ่งคาดว่าจะเป็นเกมที่ดุเดือด เนื่องจากทั้งสองทีมต่างต้องการแต้มสำคัญ

อาร์เซน่อล เปิดบ้านดวล ฟอเรสต์ ศึกชิงพื้นที่หัวตาราง
อีกหนึ่งเกมน่าสนใจ “ปืนใหญ่” อาร์เซน่อล ทีมอันดับ 4 ของตารางที่เก็บได้ 19 คะแนน จะเปิดรังเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ต้อนรับการมาเยือนของ “เจ้าป่า” น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ทีมอันดับ 5 ที่มีคะแนนเท่ากัน แต่เป็นรองเพียงผลต่างประตูได้เสีย เกมนี้จะเริ่มต้นเวลา 22.00 น.

โปรแกรมพรีเมียร์ลีก วันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2567
เหล่าแฟนบอลสามารถติดตามโปรแกรมและช่องถ่ายทอดสดได้ดังนี้:

  • 19.30 น. เลสเตอร์ ซิตี้ พบ เชลซี
    📺 ถ่ายทอดสด: True Premier Football 1, True Premier Football 2
  • 22.00 น. บอร์นมัธ พบ ไบรท์ตัน
    📺 ถ่ายทอดสด: True Premier Football 3
  • 22.00 น. แอสตัน วิลล่า พบ คริสตัล พาเลซ
    📺 ถ่ายทอดสด: True Premier Football 4
  • 22.00 น. ฟูแล่ม พบ วูล์ฟแฮมป์ตัน
    📺 ถ่ายทอดสด: True Premier Football 5
  • 22.00 น. เอฟเวอร์ตัน พบ เบรนท์ฟอร์ด
    📺 ถ่ายทอดสด: True Sports, True Sport 2
  • 22.00 น. อาร์เซน่อล พบ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์
    📺 ถ่ายทอดสด: True Premier Football 1, True Premier Football 2
  • 00.30 น. แมนเชสเตอร์ ซิตี้ พบ ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์
    📺 ถ่ายทอดสด: True Premier Football 1, True Premier Football 2

ไฮไลท์น่าจับตา
วันเสาร์นี้ถือเป็นวันสำคัญของทั้งทีมที่ลุ้นแชมป์และทีมที่กำลังมองหาโอกาสขยับอันดับ สำหรับคู่เอกระหว่าง แมนฯ ซิตี้ และ สเปอร์ส แฟนบอลจะได้เห็นการดวลแท็กติกของกุนซืออย่าง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า และคู่แข่งที่ไม่อาจประมาทได้ ส่วนอาร์เซน่อลก็ต้องการชัยชนะเพื่อรักษาอันดับในกลุ่มท็อปโฟร์ แฟนบอลตัวจริงไม่ควรพลาด!

ลามีน ยามาล: ดาวรุ่งพุ่งแรงกับพรสวรรค์ทำลายทุกสถิติ

0

ลามีน ยามาล (Lamine Yamal Nasraoui Ebana) คือชื่อที่ทุกคนในวงการลูกหนังจับตามองในขณะนี้ ด้วยสไตล์การเล่นที่เปี่ยมไปด้วยเทคนิค ความคล่องแคล่ว และความเฉียบขาดที่โดดเด่นเกินวัย ดาวรุ่งทีมชาติสเปนคนนี้กำลังสร้างปรากฏการณ์ครั้งใหม่ในโลกฟุตบอล พร้อมกับการทำลายสถิติหลายรายการอย่างต่อเนื่อง

เส้นทางสายลูกหนังของ “ลามีน ยามาล”

ลามีน ยามาล เกิดเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2007 ปัจจุบันอายุ 17 ปี และมีส่วนสูง 175 เซนติเมตร เขาเกิดและเติบโตในสเปน โดยมีเชื้อสายจากฝั่งพ่อเป็นชาวโมร็อกโก และจากฝั่งแม่เป็นชาวอิเควทอเรียลกินี

เขาเริ่มต้นเส้นทางนักฟุตบอลอาชีพในวัยเพียง 5 ขวบ ที่อคาเดมีชื่อดัง “ลา มาเซีย” ของสโมสรบาร์เซโลนา และไต่เต้าขึ้นมาจากทีมเยาวชนอย่างรวดเร็ว กระทั่งในปี 2023 ยามาลถูกดันขึ้นทีมชุดใหญ่ของบาร์เซโลนา และกลายเป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุดที่ได้ลงสนามในลาลีกาในวัยเพียง 15 ปี

นอกจากฟอร์มที่โดดเด่นกับต้นสังกัด ในปี 2023 เขายังได้รับโอกาสลงเล่นให้กับทีมชาติสเปนชุดใหญ่ พร้อมกับสร้างสถิติใหม่เป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดที่ลงเล่นและทำประตูให้กับทีมชาติ ด้วยวัยเพียง 16 ปี

สไตล์การเล่นและจุดแข็งของลามีน ยามาล

ตำแหน่งหลักของลามีน ยามาล คือ ปีกขวา แม้จะไม่ใช่นักเตะที่มีรูปร่างสูงใหญ่ แต่เขาใช้ความเร็วและความคล่องตัวได้อย่างยอดเยี่ยมในการเลี้ยงบอลและเอาชนะคู่แข่ง ลักษณะการเล่นของเขาได้รับการเปรียบเทียบกับอดีตสตาร์ของบาร์เซโลนาอย่าง ลิโอเนล เมสซี และเนย์มาร์ ด้วยลีลาที่พาบอลไปกับตัวได้อย่างเนียนตา รวมถึงความสามารถในการสร้างโอกาสให้กับเพื่อนร่วมทีม

จุดเด่นที่น่าจับตามอง

  • การจบสกอร์: ยามาลสามารถยิงได้ทั้งสองเท้า และมีวิธีการทำประตูที่หลากหลาย ตั้งแต่การยิงไกลที่ทรงพลัง ไปจนถึงการจบสกอร์ในกรอบเขตโทษที่เฉียบขาด
  • ความเร็วและความคล่องตัว: ด้วยความเร็วที่โดดเด่น เขาสามารถฉีกแนวรับคู่แข่งได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งยังเปลี่ยนจังหวะการเล่นได้รวดเร็ว ทำให้กองหลังเดาทางได้ยาก
  • การจ่ายบอลและแอสซิสต์: ไม่เพียงแต่เป็นผู้ทำประตู ยามาลยังมีสายตาเฉียบคมในการจ่ายบอลสร้างโอกาสให้เพื่อนร่วมทีม ทำให้เขาเป็นผู้เล่นที่มีความครบเครื่องในแนวรุก
  • ความมั่นใจ: แม้อายุจะยังน้อย แต่ยามาลแสดงความกล้าและความมั่นใจในทุกจังหวะที่ลงสนาม เขาไม่เคยกลัวที่จะดวลตัวต่อตัวหรือพยายามสร้างเกมรุกแม้อยู่ภายใต้แรงกดดัน

ผลงานและความสำเร็จที่น่าประทับใจ

แม้จะเพิ่งเริ่มต้นอาชีพ แต่ผลงานของยามาลนับว่ามีความโดดเด่นเกินวัย:

  • ผู้เล่นอายุน้อยที่สุดที่ลงเล่นให้บาร์เซโลนาในลาลีกา: วัยเพียง 15 ปี 9 เดือน
  • ผู้เล่นอายุน้อยที่สุดที่ลงสนามและทำประตูให้ทีมชาติสเปน: วัย 16 ปี
  • แชมป์ยูโร 2024 กับทีมชาติสเปน: พร้อมรับรางวัลนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมของทัวร์นาเมนต์
  • แชมป์ลาลีกา ฤดูกาล 2022/23: ร่วมกับบาร์เซโลนา
  • รางวัล Golden Boy Nominee 2023: การเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมของยุโรป

ในฤดูกาล 2024 เขายังทำผลงานโดดเด่นในระดับสโมสร โดยยิงไปแล้ว 5 ประตูจากการลงสนาม 10 นัดในลาลีกา รวมถึงการทำประตูในยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของเขาในเวทีระดับสูง

อนาคตที่สดใสของลามีน ยามาล

ด้วยอายุเพียง 17 ปี และศักยภาพที่พัฒนาได้อีกมาก ลามีน ยามาล ถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในนักเตะที่จะกลายเป็นซูเปอร์สตาร์คนต่อไปของโลกฟุตบอล เขาคือความหวังใหม่ของบาร์เซโลนาและทีมชาติสเปน ซึ่งมีแนวโน้มที่จะสร้างผลงานอันยอดเยี่ยมและจารึกชื่อในประวัติศาสตร์ฟุตบอล

สำหรับแฟนบอลที่อยากติดตามฟอร์มการเล่นอันน่าตื่นตาของลามีน ยามาล รวมถึงการแข่งขันฟุตบอลรายการต่าง ๆ อย่างครบครัน อย่าลืมติดตามความเคลื่อนไหวและรับชมถ่ายทอดสดได้ที่ PPTV HD 36 ครบทุกลีกดัง ทั้งบุนเดสลีกา, ลาลีกา, พรีเมียร์ลีก, ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก และฟุตบอลไทยลีก ให้คุณสนุกกับการเชียร์ฟุตบอลแบบเต็มอิ่ม!

แฮร์รี่ เคน สร้างประวัติศาสตร์ใหม่ หลังทำแฮตทริก

0

แฮร์รี่ เคน สุดยอดดาวยิงทีมชาติอังกฤษ สร้างสถิติใหม่ในเกมที่ บาเยิร์น มิวนิค เปิดบ้านถล่ม เอาก์สบวร์ก 3-0 ในศึกบุนเดสลีกาเมื่อคืนที่ผ่านมา ซึ่งนอกจากจะช่วยให้ “เสือใต้” ยืดระยะห่างนำเป็นจ่าฝูงแล้ว ยังเป็นการเพิ่มความยิ่งใหญ่ในเส้นทางค้าแข้งของเขาอีกด้วย

เกมดังกล่าวเป็นแมตช์ที่ 11 ของฤดูกาล 2024-2025 โดย บาเยิร์น มิวนิค ลงสนามที่อัลลิอันซ์ อารีน่า และโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม เคนเป็นคนยิงทั้ง 3 ประตูของทีม โดยเริ่มจากลูกจุดโทษในนาทีที่ 63 ก่อนจะมาเพิ่มอีก 2 ลูกในช่วงทดเวลาบาดเจ็บนาทีที่ 90+3 และ 90+5 ส่งผลให้เขาทำแฮตทริกครั้งที่ 3 ของฤดูกาลในลีกได้สำเร็จ

ชัยชนะครั้งนี้ทำให้ บาเยิร์น เก็บเพิ่มเป็น 29 คะแนน ทิ้งห่าง ไลป์ซิก ทีมอันดับ 2 ไปถึง 8 คะแนน แม้จะลงแข่งมากกว่า 1 นัด ในขณะที่ เอาก์สบวร์ก ยังคงอยู่อันดับ 13 มีเพียง 12 คะแนนเท่าเดิม

ไม่เพียงเท่านั้น ผลงาน 3 ประตูในเกมนี้ยังทำให้ แฮร์รี่ เคน ทุบสถิติเดิมของ เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ ในการเป็นนักเตะที่ทำครบ 50 ประตูในบุนเดสลีกาได้เร็วที่สุด โดย เคน ใช้เวลาเพียง 43 นัด ขณะที่ ฮาลันด์ เคยทำไว้ใน 50 นัด เมื่อครั้งค้าแข้งกับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ในปี 2021

นี่คืออีกหนึ่งความสำเร็จที่แสดงให้เห็นถึงความร้อนแรงและประสิทธิภาพของ เคน ซึ่งกำลังพา บาเยิร์น มิวนิค เดินหน้าสู่การคว้าแชมป์ลีกอย่างมั่นคง!

ห้ามพลาด!