Home Blog

คูราเซาเขียนประวัติศาสตร์เข้าบอลโลกครั้งแรก!

0

คูราเซา (Curaçao) กลายเป็นหนึ่งในเรื่องราวที่งดงามที่สุดของฟุตบอลโลก 2026 เมื่อชาติหมู่เกาะเล็กในทะเลแคริบเบียน ที่มีประชากรเพียง กว่า 1.5 แสนคน ก้าวเข้าสู่รอบสุดท้ายของเวิลด์คัพได้สำเร็จ พร้อมสร้างประวัติศาสตร์เป็นประเทศที่มีประชากรน้อยที่สุดที่ผ่านเข้ารอบฟุตบอลโลก

เส้นทางสู่ความสำเร็จครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน แต่เริ่มจากความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในปี 2010 เมื่ออาณาจักรเนเธอร์แลนด์แอนทิลลีสถูกยุบ ทำให้คูราเซากลายเป็นหนึ่งในประเทศองค์ประกอบของราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ และต้องเริ่มต้นฟุตบอลทีมชาติใหม่ทั้งหมด ตั้งแต่ศูนย์ ไปจนถึงการจัดอันดับโลกที่ อันดับ 151 ในปีแรกที่ถือกำเนิด

ทว่า สำหรับชาวคูราเซา ฟุตบอลไม่ใช่เพียงกีฬา แต่คือสัญลักษณ์ของการรวมตัวเป็นหนึ่งเดียวภายใต้ธงชาติของตัวเอง “คลื่นสีฟ้า” (The Blue Wave) ฉายาที่ได้รับแรงบันดาลใจจากทะเลสีฟ้าครามรอบเกาะ กลายเป็นวิญญาณที่ขับเคลื่อนทีมชุดนี้ให้เดินหน้าอย่างไม่หวั่นไหว

แม้จะขาดแคลนงบประมาณ ขาดลีกอาชีพที่แข็งแรง และโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย แต่คูราเซามีสิ่งที่ชาติเล็กอื่นไม่มี นั่นคือ กลยุทธ์การดึงดูดแข้งเชื้อสายดัตช์จากทั่วโลก หรือ Diaspora Strategy ที่ทำอย่างเป็นระบบระหว่างรัฐบาลและสมาคมฟุตบอล

ผู้เล่นส่วนใหญ่เกิดและเติบโตในเนเธอร์แลนด์ ผ่านโรงเรียนฟุตบอลระดับสูง เช่น อาแจ็กซ์ และเฟเยนูร์ด แต่โอกาสติดทีมชาติฮอลแลนด์มีจำกัด ทำให้แข้งเลือดผสมเหล่านี้เลือกตอบรับทีมบรรพบุรุษของตนเอง

แกนหลักของทีมประกอบด้วย

  • ทาฮิธ ชอง (เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด)
  • โจชัว เบรเน็ต (ลิฟวิงสตัน)
  • อาร์ยานี่ มาร์ธา (ร็อทเธอร์แฮม)
  • ซนท์เย่ แฮนเซ่น (มิดเดิลสโบรห์)

ทั้งหมดคือผลผลิตจากระบบฟุตบอลดัตช์ที่แข็งแกร่ง และรวมตัวกันภายใต้สีเสื้อฟ้าของคูราเซา

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อสมาคมฯ เลือกแต่งตั้ง ดิ๊ก แอดโวคาต กุนซือจอมเก๋าวัย 78 ปี มาคุมทัพ เขามีความรู้ลึกซึ้งเกี่ยวกับฟุตบอลดัตช์ และสื่อสารกับนักเตะได้อย่างเป็นกันเอง ช่วยปรับวินัย ระบบการซ้อม และมาตรฐานทีมให้ใกล้เคียงระดับยุโรป

ก่อนยุคแอดโวคาต ทีมเคยเจอวิกฤตครั้งใหญ่จากปัญหาค้างจ่ายโบนัส แต่องค์กรบริหารร่วมกันแก้ไขอย่างโปร่งใส สร้างความเชื่อมั่นใหม่ให้ผู้เล่นชุดปัจจุบันทุ่มเทกับเกมเต็มที่โดยไร้กังวลเรื่องนอกสนาม

ด้วยผลงานครั้งนี้ คูราเซาไม่เพียงแค่เขียนประวัติศาสตร์ใหม่ แต่ยังตอกย้ำว่า
ความยิ่งใหญ่ไม่ได้วัดจากพื้นที่บนแผนที่ แต่เกิดจากหัวใจ ความมุ่งมั่น และการจัดการที่มองไกล

และ “คลื่นสีฟ้า” ลูกนี้ กำลังจะถาโถมสู่เวทีฟุตบอลโลก 2026 อย่างสง่างาม.

แรงไม่หยุด! ฮาร์กรีฟส์เทียบเอ็มเบอโม่กับซาล่าห์หลังโชว์ฟอร์ม

0

โอเว่น ฮาร์กรีฟส์ อดีตมิดฟิลด์ทีมชาติอังกฤษ ออกโรงยกย่อง ไบรอัน เอ็มเบอโม่ แนวรุกของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พร้อมชี้ว่าฟอร์มการเล่นและสไตล์ในพื้นที่สุดท้าย มีความคล้ายคลึงกับ โมฮาเหม็ด ซาล่าห์ ซูเปอร์สตาร์ของลิเวอร์พูลอย่างมาก

แมนฯ ยูไนเต็ด คว้าตัวเอ็มเบอโม่มาจากเบรนท์ฟอร์ดเมื่อซัมเมอร์ที่ผ่านมา ด้วยค่าตัว 65 ล้านปอนด์ หลังจากดาวเตะทีมชาติแคเมอรูนสร้างชื่อด้วยผลงาน 20 ประตูในซีซั่นสุดท้ายกับ “เดอะ บีส์” และยังคงรักษาฟอร์มร้อนแรงต่อเนื่องในปีนี้ ยิงไปแล้ว 5 ลูก พาทีมของ รูเบน อาโมริม กลับมามีลุ้นพื้นที่ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก อีกครั้ง

ผลงานโดดเด่นของเจ้าตัวทำให้ เวย์น รูนี่ย์ ถึงกับออกมายกให้เป็น “ผู้เล่นที่ดีที่สุดของแมนฯ ยูไนเต็ด ในฤดูกาลนี้” และล่าสุด ฮาร์กรีฟส์ก็เป็นอีกหนึ่งเสียงที่แสดงความประทับใจในแข้งวัย 26 ปีรายนี้

ฮาร์กรีฟส์กล่าวว่า
“จุดแข็งของเอ็มเบอโม่คือคุณภาพในพื้นที่สุดท้าย เขาทำให้ผมนึกถึงโมฮาเหม็ด ซาล่าห์ ทั้งในกรอบเขตโทษและพื้นที่รอบ ๆ มันชัดเจนว่าเขารู้ว่าจะทำอะไรเมื่อได้บอล ไม่ว่าจะยิงเสาแรกหรือเสาไกล เขานิ่งและมั่นใจอย่างมาก”

อดีตสตาร์ผีแดงยังเสริมว่า
“คนพูดถึงเรื่องประตูของเขาเยอะก็จริง แต่สิ่งที่ผมเห็นคือเขาเป็นนักฟุตบอลที่สมบูรณ์แบบ ย้ายมาแมนฯ ยูไนเต็ดไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะเมื่อมีสตาร์ดังมากมายในทีม แต่เอ็มเบอโม่กลับรับมือกับแรงกดดันได้ดีเกินคาด”

โดยสถานการณ์ล่าสุด แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มี 18 คะแนน อยู่ในอันดับ 7 ของตาราง และเตรียมเปิดบ้านโอลด์ แทรฟฟอร์ดรับมือ เอฟเวอร์ตัน ในเกมพรีเมียร์ลีกคืนวันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายนนี้.

ศึกชี้ชะตาจ่าฝูง! อาร์เซน่อลปะทะสเปอร์ส โปรแกรมครบ 10 คู่

0

ศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2025/26 เดินหน้าเข้าสู่โปรแกรมนัดที่ 12 โดยกลับมาลงสนามเต็มรูปแบบหลังพักเบรกทีมชาติช่วงฟีฟ่าเดย์ ซึ่งสัปดาห์นี้เตะครบทั้ง 10 คู่ ระหว่างวันที่ 22–27 พฤศจิกายน พร้อมไฮไลท์บิ๊กแมตช์ “นอร์ธ ลอนดอน ดาร์บี้” ที่แฟนบอลทั่วโลกจับตามอง

จ่าฝูงอย่าง อาร์เซน่อล เตรียมเปิดบ้านเอมิเรตส์ สเตเดียม รับมือคู่ปรับร่วมเมือง ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ ทีมอันดับ 5 ของตาราง ขณะที่แชมป์เก่า ลิเวอร์พูล มีคิวเปิดแอนฟิลด์ดวล น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ส่วน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะปิดท้ายสัปดาห์ด้วยการเฝ้าโอลด์ แทรฟฟอร์ด พบ เอฟเวอร์ตัน

ด้านล่างคือโปรแกรมแข่งขันพรีเมียร์ลีกนัดที่ 12 พร้อมช่องถ่ายทอดสดอย่างละเอียด


โปรแกรมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ นัดที่ 12

วันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน 2025

19.30 น. เบิร์นลีย์ พบ เชลซี

22.00 น. บอร์นมัธ พบ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด

22.00 น. ไบรท์ตัน พบ เบรนท์ฟอร์ด

22.00 น. ฟูแล่ม พบ ซันเดอร์แลนด์

22.00 น. ลิเวอร์พูล พบ ฟอเรสต์

22.00 น. วูล์ฟแฮมป์ตัน พบ คริสตัล พาเลซ

00.30 น. นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด พบ แมนเชสเตอร์ ซิตี้


วันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน 2025

21.00 น. ลีดส์ ยูไนเต็ด พบ แอสตัน วิลล่า

23.30 น. อาร์เซน่อล พบ สเปอร์ส (เกมบิ๊กแมตช์ประจำสัปดาห์)


คืนวันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน 2025

03.00 น. แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พบ เอฟเวอร์ตัน

รายชื่อ 34 ชาติผ่านเข้ารอบบอลโลก 2026 อย่างเป็นทางการ

0

การแข่งขันฟุตบอลโลก 2026 ซึ่งจะจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในรูปแบบเจ้าภาพร่วมระหว่าง สหรัฐอเมริกา แคนาดา และเม็กซิโก เดินหน้าเข้าใกล้ความสมบูรณ์มากขึ้น หลังจากจำนวนทีมที่ผ่านเข้ารอบสุดท้ายเพิ่มเป็น 34 ชาติจากทั้งหมด 48 ทีม เป็นที่เรียบร้อย

ในเกมรอบคัดเลือกล่าสุด ทวีปยุโรปได้ส่งสองทีมยักษ์ใหญ่อย่าง เยอรมนี และ เนเธอร์แลนด์ การันตีตั๋วลุยรอบสุดท้ายเพิ่ม โดยอินทรีเหล็กผ่านเข้าสู่เวิลด์คัพเป็นครั้งที่ 21 ส่วนทัพกังหันลมคว้าสิทธิ์เข้าร่วมเป็นครั้งที่ 20 ต่อจากชาติที่เข้ารอบไปก่อนหน้าอย่าง อังกฤษ, ฝรั่งเศส, โครเอเชีย, โปรตุเกส และนอร์เวย์

จนถึงตอนนี้ ทัวร์นาเมนต์เวิลด์คัพฉบับขยายทีมเหลือเพียง 14 โควตาที่ต้องลุ้นกันต่อ ขณะที่รายชื่อชาติที่ยืนยันแล้วมีดังนี้:


รายชื่อ 34 ชาติที่ผ่านเข้ารอบฟุตบอลโลก 2026

โซนคอนคาเคฟ

  • เม็กซิโก
  • สหรัฐอเมริกา
  • แคนาดา
    (3 ชาติร่วมเป็นเจ้าภาพ)

โซนอเมริกาใต้

  • อาร์เจนตินา
  • บราซิล
  • โคลอมเบีย
  • เอกวาดอร์
  • ปารากวัย
  • อุรุกวัย

โซนโอเชียเนีย

  • นิวซีแลนด์

โซนเอเชีย

  • ญี่ปุ่น
  • อิหร่าน
  • เกาหลีใต้
  • อุซเบกิสถาน (เข้ารอบครั้งแรก)
  • จอร์แดน (เข้ารอบครั้งแรก)
  • ออสเตรเลีย
  • กาตาร์
  • ซาอุดีอาระเบีย

โซนแอฟริกา

  • โมร็อกโก
  • ตูนิเซีย
  • อียิปต์
  • แอลจีเรีย
  • กาน่า
  • เคปเวิร์ด (เข้ารอบครั้งแรก)
  • แอฟริกาใต้
  • ไอวอรีโคสต์
  • เซเนกัล

โซนยุโรป

  • อังกฤษ
  • ฝรั่งเศส
  • โครเอเชีย
  • โปรตุเกส
  • นอร์เวย์
  • เยอรมนี
  • เนเธอร์แลนด์

ยูโร 2028 ไร้เงาหงส์–สิงห์! ยูฟ่าแจงชัดสนามไม่ตรงมาตรฐาน

0

สหพันธ์ฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า) เปิดเผยเหตุผลอย่างเป็นทางการว่าทำไมสนามเหย้าของ ลิเวอร์พูล และ เชลซี รวมถึง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จึงไม่ได้รับเลือกเป็นหนึ่งในสังเวียนจัดการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2028 โดยประเด็นหลักอยู่ที่ข้อจำกัดด้านมาตรฐานสนามและความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน

หลังยูฟ่าออกประกาศรายชื่อสนามเจ้าภาพทัวร์นาเมนต์ใหญ่ในปี 2028 พบว่า ปรินซิพาลิตี้ สเตเดี้ยม ในคาร์ดิฟฟ์ จะรับหน้าที่จัดพิธีเปิด ขณะที่สนามเวมบลีย์ กรุงลอนดอน ยังคงเป็นสังเวียนสำคัญสำหรับรอบรองชนะเลิศและรอบชิงชนะเลิศ ส่วนสนามในพรีเมียร์ลีกหลายแห่ง เช่น ฮิลล์ ดิคกินสัน (เอฟเวอร์ตัน), วิลล่า พาร์ค (แอสตัน วิลล่า), ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ สเตเดี้ยม, เซนต์ เจมส์ พาร์ค และ เอติฮัด สเตเดี้ยม ต่างผ่านการคัดเลือกครบถ้วน

อย่างไรก็ตาม แอนฟิลด์, สแตมฟอร์ด บริดจ์ และโอลด์ แทรฟฟอร์ด ต่างถูกตัดชื่อออกทั้งหมด โดยมีเหตุผลดังนี้:

แอนฟิลด์ – ขนาดสนามไม่ตรงตามเกณฑ์ยูฟ่า

สนามเหย้าของลิเวอร์พูลมีความยาวของพื้นที่เล่นสั้นกว่ามาตรฐานที่ยูฟ่า ระบุไว้ (105 × 68 เมตร) อยู่ประมาณ 4 เมตร ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้สนามไม่สามารถผ่านการคัดเลือกได้ แม้สโมสรจะมีความพยายามแก้ไข แต่ติดข้อจำกัดด้านโครงสร้างและพื้นที่โดยรอบที่ทำให้ไม่สามารถขยายเพิ่มได้

สแตมฟอร์ด บริดจ์ – ขนาดสนามหญ้าสั้นกว่ากำหนด

สนามของเชลซีเผชิญปัญหาเดียวกัน โดยมีพื้นที่เล่นเพียง 103 × 67 เมตร ซึ่งต่ำกว่ามาตรฐานขั้นต่ำของยูฟ่า ส่งผลให้ถูกตัดสิทธิ์โดยอัตโนมัติ

โอลด์ แทรฟฟอร์ด – ความเก่าและความไม่พร้อมของโครงสร้าง

ในส่วนของโอลด์ แทรฟฟอร์ด แม้จะเป็นหนึ่งในสนามที่ใหญ่ที่สุดในอังกฤษ แต่ยูฟ่ามองว่าขาดการปรับปรุงครั้งใหญ่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้หลายโซนมีปัญหาเชิงโครงสร้าง ไม่สอดคล้องกับความต้องการด้านความปลอดภัยและมาตรฐานของทัวร์นาเมนต์ นอกจากนี้ ในปี 2023 สโมสรยังไม่สามารถให้ข้อมูลชัดเจนเกี่ยวกับแผนความพร้อมของสนาม ทำให้ถูกพิจารณาตัดออกในที่สุด

การคัดเลือกครั้งนี้สะท้อนถึงความเข้มงวดของยูฟ่าในการกำหนดมาตรฐานสังเวียนแข่งขัน รวมถึงความจำเป็นที่สโมสรต่าง ๆ ต้องเร่งพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกให้ทันยุคสมัย หากต้องการกลับมาเป็นเจ้าภาพทัวร์นาเมนต์ใหญ่ในอนาคต.

ยูไนเต็ดกำลังถอยหลัง! เอริค คันโตน่า โทษ “เซอร์ จิม”

0

เอริค คันโตน่า ตำนานหมายเลข 7 ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ออกโรงวิจารณ์อย่างดุเดือดถึงแนวทางการบริหารของ เซอร์ จิม แรตคลิฟฟ์ มหาเศรษฐีชาวอังกฤษและผู้ถือหุ้นรายใหม่ของสโมสร โดยมองว่าการเข้ามาของ INEOS กำลังทำให้ทีมสูญเสียเอกลักษณ์และเสน่ห์แบบ “ปีศาจแดง” ที่เคยมี

แรตคลิฟฟ์เข้าซื้อหุ้น 27.7% ของสโมสรเมื่อกุมภาพันธ์ 2024 พร้อมรับอำนาจบริหารด้านฟุตบอลจากตระกูลเกลเซอร์ ช่วงแรกแฟนบอลยังพอมองเห็นความหวัง หลังทีมผงาดคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ 2024 แต่หลังการปลด เอริก เทน ฮาก และการแต่งตั้ง รูเบน อาโมริม ผลงานกลับไม่เป็นไปตามเป้า จนเสียงวิจารณ์เริ่มหนาหูขึ้นเรื่อย ๆ

ล่าสุด ในงาน An Evening with Eric The King Cantona อดีตซูเปอร์สตาร์รายนี้เปิดใจแบบไม่มีกั๊ก เผยว่าเขาเคยตั้งใจจะเข้ามามีบทบาทช่วยสโมสรในช่วงเปลี่ยนผ่าน แต่กลับถูกเมินเฉยจากผู้บริหารชุดใหม่

คันโตน่ากล่าวว่า
“ผมมีโปรเจกต์มากมาย แต่คิดว่าซัก 2–3 ปี ผมพร้อมจะทิ้งทุกอย่างเพื่อช่วยสโมสรที่มอบทุกอย่างให้ผม แต่ดูเหมือนว่าเขา (แรตคลิฟฟ์) ไม่สนใจเลย ผมทำเต็มที่แล้วจึงไม่รู้สึกผิดอะไร”

เขายังวิจารณ์แนวทางฟุตบอลของทีมในยุคใหม่ว่าไม่สอดคล้องกับมรดกที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เคยสร้างเอาไว้
“เฟอร์กี้สร้างฟุตบอลเกมรุกที่งดงาม เจ้าของใหม่ควรสานต่อ แต่นี่กลับทำลายมัน”

คันโตน่ายังพูดถึงบรรยากาศในสนามโอลด์ แทรฟฟอร์ดว่าเปลี่ยนไปมาก
“ผมไปดูเกมเจอซิตี้เมื่อฤดูกาลที่แล้ว และมันเงียบมาก แฟนยูไนเต็ดยุคนี้อยากไปเกมเยือนมากกว่า เพราะได้อยู่กับแฟนบอลตัวจริง แทนที่จะเจอกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มาเพื่อช้อปปิ้งของที่ระลึกในสโมสร”

ตำนานรายนี้ยังเสริมว่าหากวันนี้เขาต้องเลือกสโมสรเชียร์ในฐานะแฟนบอล เขาอาจไม่เลือกแมนฯ ยูไนเต็ด
“ผมไม่รู้สึกเชื่อมโยงกับโปรเจกต์นี้เลย ตั้งแต่แรตคลิฟฟ์เข้ามา ทุกอย่างตรงข้ามกับสิ่งที่ควรเป็น พวกเขาไม่เคารพแฟนบอล ไม่เคารพผู้จัดการทีม ไม่เคารพใครทั้งนั้น ถึงขั้นอยากจะเปลี่ยนสนามด้วยซ้ำ”

คำให้สัมภาษณ์ของคันโตน่าถูกมองว่าเป็นอีกหนึ่งเสียงสะท้อนจากบุคลากรระดับตำนานที่ไม่พอใจแนวทางของผู้บริหารชุดใหม่ ท่ามกลางอนาคตอันไม่แน่นอนของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทั้งในสนามและนอกสนามในเวลานี้.

“ฮาลันด์”เหมาชีสเบอร์เกอร์เลี้ยง หลังถล่มเอสโตเนีย 4-1

0

บรรยากาศในแคมป์ทีมชาตินอร์เวย์กลายเป็นงานเลี้ยงทันทีหลังสิ้นเสียงนกหวีดสุดท้าย เมื่อ เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ หัวหอกฟอร์มระเบิดของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ควักเงินจัด “ชีสเบอร์เกอร์” มากกว่า 70 ชิ้น ฉลองให้เพื่อนร่วมทีม หลังทัพไวกิ้งเปิดบ้านถล่ม เอสโตเนีย 4-1 ขยับเข้าใกล้การไปลุยฟุตบอลโลก 2026 รอบสุดท้ายอย่างเต็มตัว

ชัยชนะในเกมนี้ทำให้นอร์เวย์มี 21 คะแนน นั่งจ่าฝูงกลุ่ม I ทิ้ง อิตาลี รองจ่าฝูงอยู่ 3 แต้ม พร้อมประตูได้–เสียที่เหนือกว่าไกลถึง +17 และเหลือการแข่งขันอีกเพียงนัดเดียว เท่ากับว่าพวกเขาแทบจะยืนครึ่งขาในรอบสุดท้ายเรียบร้อย

ฮาลันด์ ซึ่งได้รับปลอกแขนกัปตันทีมแทน มาร์ติน โอเดการ์ด ที่บาดเจ็บ ไม่เพียงแค่ยิงประตูเพิ่มเป็นลูกที่ 29 และ 30 ของฤดูกาล แต่ยังโชว์ความเป็นผู้นำทั้งในสนามและนอกสนาม ด้วยการสั่งเบอร์เกอร์จำนวนมหาศาลให้ทั้งทีมได้ฉลองอย่างชื่นมื่น

หลังเกมมีภาพชัดเจน—ดาวยิงวัย 25 ปี หอบถุงชีสเบอร์เกอร์เป็นตั้ง ๆ กลับเข้าไปในห้องแต่งตัวจนแฟนบอลแซวว่า “กัปตันฮาลันด์ไม่เคยทำให้ผิดหวัง”

หนึ่งในผู้ยืนยันความฟินคือ ซานเดอร์ เบอร์เก้ ห้องเครื่องจากฟูแล่มที่กล่าวสั้น ๆ แต่ชัดเจนว่า
“กัปตันของเราทำได้ยอดเยี่ยมจริง ๆ!”

แสดงให้เห็นว่าฮาลันด์ไม่ได้เป็นแค่เครื่องจักรทำประตู แต่ยังเป็นหัวใจสำคัญของห้องแต่งตัวทีมชาติชุดนี้อย่างแท้จริง

หมอนทองวิทยาสู้สุดหัวใจ! พ่าย “ทีมบอยท่าพระจันทร์”

0

ศึกฟุตบอลนัดพิเศษที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม เสียงปรบมือ และความมันทุกจังหวะ — หมอนทองวิทยา ลงสนามเกมกระชับมิตรพบกับ ทีมบอยท่าพระจันทร์ ก่อนจะสู้สุดใจแต่พ่ายไปแบบเฉียดฉิว 2-3 ในเกมที่แฟนบอลติดขอบสนามอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง

ทีมหมอนทองวิทยา ภายใต้การปลุกปั้นของ อาจารย์สกล เกลี้ยงประเสริฐ ผู้ทำหน้าที่ทั้งโค้ช ทั้งคนขับรถพาทีมลุยฝัน จนสร้างปรากฏการณ์ทะยานถึงรอบรองชนะเลิศบอล 7 สี ก่อนพ่าย อบจ.ชัยนาท 1-2 ท่ามกลางบรรยากาศที่สนามศุภชลาศัยแทบแตกจากแฟนบอลที่เข้ามาเชียร์แน่นขนัด

หลังจบเกมใหญ่ ทีมจากบางน้ำเปรี้ยวยังต้องลงเตะนัดกระชับมิตรทันที กับทีม VIP สุดพิเศษของ บอยท่าพระจันทร์ ที่นำทีมโดยเซเลบริตี้กีฬา–บันเทิงครบชุด ทั้ง ก้อง ห้วยไร่, หมอแจ็ค จากภาพยนตร์ “สัปเหร่อ”, และ กฤษดา วงษ์แก้ว ตำนานฟุตซอลทีมชาติไทย

เกมนี้เตะกันครึ่งละ 40 นาที และเพียงครึ่งแรกทีมบอยท่าพระจันทร์ก็โชว์ของขึ้นนำ 2-0

  • นาที 22 ก้อง ห้วยไร่ สลัดคราบนักร้อง ซัดเปิดสกอร์อย่างเฉียบ
  • นาที 40 เอกภูมิ โพธารุ่งโรจน์ หลุดยิงตุงตาข่าย ส่งทีม VIP ขยับหนีเป็น 2-0

ครึ่งหลังหมอนทองไม่ยอมง่าย ๆ นาที 48 สุทธิพงศ์ อิสระ ยิงตีไข่แตก ไล่มาเป็น 1-2 จุดไฟความหวังของทั้งสนามให้ลุกโชนอีกครั้ง

แต่ทีมบอยท่าพระจันทร์ยังคงมีจังหวะหวาดเสียวหลายครั้ง โดยเฉพาะ ศุภวุฒิ เถื่อนกลาง ที่ได้โอกาสใส่สกอร์เพิ่ม แต่ทั้งติดเซฟและซัดหลุดกรอบไปเอง ขณะที่ “เต วรากร” ดาวเด่นของหมอนทองมีอาการเจ็บ ทำให้สตาฟฟ์ต้องเปลี่ยนออกเพื่อความปลอดภัย

นาที 79 ทีมบอยท่าพระจันทร์มาไล่บวกประตูที่สาม หนีเป็น 3-1 ยิ่งเพิ่มความกดดันให้หมอนทองต้องเร่งทุกจังหวะ

กระทั่งช่วงทดเจ็บนาที 80+2 ณัฐวุฒิ หอมกรุ่น ยิงให้หมอนทองไล่มา 2-3 แต่ก็ไม่ทัน จบเกมทีมบอยท่าพระจันทร์เฉือนชนะไปแบบสนุกสุดมัน

แม้ผลจะเป็นฝ่ายพ่าย แต่ฟอร์มของหมอนทองวิทยายังคงสะกดคำว่า “หมดใจ” ไม่เป็น — และเกมนี้คืออีกหนึ่งภาพชัดเจนว่า ทำไมทีมจากอำเภอบางน้ำเปรี้ยวถึงกลายเป็นทีมขวัญใจแฟนบอลทั้งประเทศในชั่วโมงนี้ 🔥⚽

“5 แข้งราชัน” ไม่ปลื้มแนวทาง “อลอนโซ่” แม้นำฝูงลาลีกา

0

ยังไม่ทันจบฤดูกาลดี ก็เริ่มมีกลิ่นปัญหาในรั้วซานติอาโก้ เบร์นาเบว — เมื่อ มุนโด เดปอร์ติโบ สื่อดังแดนกระทิงดุ รายงานว่า มีนักเตะถึง 5 คนในทีมเรอัล มาดริด ที่เริ่มไม่พอใจกับแนวทางการคุมทีมของ ชาบี อลอนโซ่ แม้ผลงานโดยรวมจะยังรั้งจ่าฝูงลาลีกาอยู่ก็ตาม

จากรายงานระบุชื่อชัด — ติโบต์ กูร์กตัวส์, วินิซิอุส จูเนียร์, จู๊ด เบลลิงแฮม, เอดูอาร์โด้ คามาวิงก้า และ เฟเดริโก้ บัลเบร์เด้ คือกลุ่มนักเตะที่ไม่แฮปปี้กับระบบการเล่นของอดีตกองกลางลิเวอร์พูล โดยเฉพาะแนวทางการ “เริ่มเกมจากแนวหลัง” และการครองบอลในแดนตัวเองที่ถูกมองว่า “เสี่ยงเกินไป”

ย้อนกลับไปในเกม เอล กลาซิโก้ กับบาร์เซโลนา มีสัญญาณความตึงเครียดให้เห็น เมื่อ วินิซิอุส แสดงอาการไม่พอใจหลังถูกเปลี่ยนตัวออกกลางเกม แม้ภายหลังจะออกมาขอโทษเพื่อนร่วมทีมและสโมสร แต่กลับไม่มีการเอ่ยถึงชื่อ “อลอนโซ่” ในคำขอโทษนั้นเลย

ขณะที่ เบลลิงแฮม ก็เริ่มมีความกังวลต่อระบบของกุนซือชาวสเปน หลังโดนวิจารณ์เรื่องทัศนคติและบทบาทในทีม ส่วนทางด้าน คามาวิงก้า และ บัลเบร์เด้ ก็ไม่พอใจที่ถูกโยกไปเล่นในตำแหน่งที่ไม่ถนัดหลายครั้ง โดยเฉพาะ บัลเบร์เด้ ที่ต้องลงเล่นแบ็กขวาชั่วคราวแทน ดานี่ การ์บาฆาล และ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ที่เจ็บยาว

นอกจากนี้ แหล่งข่าววงในยังเผยว่า แข้งราชันบางส่วนรู้สึกอึดอัดกับสไตล์การคุมทีมแบบ “ระเบียบจัด” ของอลอนโซ่ ที่ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีการซ้อม ทั้ง วิดีโอรีวิว, โดรนติดตามนักเตะ และ ระบบวิเคราะห์ข้อมูลแบบละเอียดทุกจังหวะ ซึ่งแตกต่างจากแนวทางที่ “ผ่อนคลายกว่า” ของอดีตกุนซืออย่าง คาร์โล อันเชล็อตติ และ ซีเนดีน ซีดาน อย่างสิ้นเชิง

แม้มาดริดในยุคอลอนโซ่จะพลาดท่าแพ้แค่เกมเดียวในลีก แต่ผลงานใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ยังไม่เปรี้ยงเท่าที่ควร โดยสื่อสเปนวิเคราะห์ว่า ทีมยัง “ขาดความดุดันในพื้นที่สุดท้าย” และการเคลื่อนที่ในแนวรุกยังไม่ลื่นไหลเท่ากับยุคก่อนหน้า

ความกดดันจึงเริ่มโหมเข้าหาอดีตกองกลางเลือดกระทิงรายนี้อย่างต่อเนื่อง แม้จะนำฝูงอยู่ก็ตาม เพราะในถิ่นเบร์นาเบว “ชัยชนะอย่างเดียวไม่พอ” — ต้องชนะด้วยสไตล์ที่คู่ควรกับคำว่า “ราชันแห่งสเปน” ด้วย

“อาร์เตต้า” เซ็งสุด! ปืนใหญ่พลาด 3 แต้มช่วงทดเจ็บ

0

มิเกล อาร์เตต้า ผู้จัดการทีมอาร์เซน่อล ออกอาการผิดหวังสุด ๆ หลังลูกทีมพลาดชัยชนะในวินาทีสุดท้าย เมื่อโดน ซันเดอร์แลนด์ ตามตีเสมอช่วงทดเวลาเจ็บ 2-2 ในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อคืนที่ผ่านมา

“ปืนใหญ่” เกือบเก็บสามแต้มกลับลอนดอนได้อยู่แล้ว หลังพลิกสถานการณ์จากการตามหลังมาเป็นนำ 2-1 แต่สุดท้ายกลับถูกยิงตีเสมอในช่วงทดเวลานาทีที่ 90+4 ทำให้ต้องแบ่งแต้มกันไปอย่างเจ็บใจ


⚽ รูปเกมสุดเดือด — ปืนใหญ่ชวดชัยในวินาทีสุดท้าย

เกมนี้เริ่มต้นไม่ง่ายสำหรับอาร์เซน่อล เมื่อเจ้าถิ่นได้เฮก่อนจากลูกยิงของ แดน บัลลาร์ด ในนาที 36 ส่งซันเดอร์แลนด์ออกนำ 1-0

อย่างไรก็ตาม หลังพักครึ่ง อาร์เซน่อลเร่งเครื่องเต็มกำลัง ก่อนจะได้ประตูตีเสมอจาก บูกาโย่ ซาก้า ในนาที 54 และพลิกนำจากลูกยิงของ เลอันโดร ทรอสซาร์ ในนาที 74

แต่แล้วฝันร้ายก็มาเยือนในช่วงทดเวลา เมื่อ ไบรอัน บร็อบบี้ ดาวยิงตัวสำรองของเจ้าถิ่นซัดประตูตีเสมอ 2-2 นาทีที่ 90+4 ช่วยให้ “แมวดำ” คว้าแต้มสุดล้ำค่าในบ้าน

ผลเสมอเกมนี้ทำให้อาร์เซน่อลมีเพิ่มเป็น 26 คะแนน ยังคงรั้งจ่าฝูงต่อไป แต่เสียโอกาสทองในการทำแต้มหนีคู่แข่ง และพลาดสถิติชนะรวดในลีก 11 นัด รวมถึงหยุดสถิติ “คลีนชีต 9 เกมติด” ลงด้วย


🎙️ “อาร์เตต้า” ผิดหวัง แต่ยังยกเครดิตลูกทีม

หลังจบเกม กุนซือชาวสเปนเปิดใจด้วยน้ำเสียงทั้งเสียดายและยอมรับในผลงานของคู่แข่ง

“มันมีเกมแบบนี้อยู่เสมอในพรีเมียร์ลีก เราเสียประตูจากสิ่งที่รู้ว่าเป็นจุดแข็งของพวกเขา — บอลยาวและลูกกลางอากาศ พวกเขาทำได้ดีมากจริง ๆ”

อาร์เตต้ากล่าวต่อว่า

“แน่นอนว่าเราผิดหวังที่หลุดไป 2 แต้ม เกมนี้ไม่ง่ายเลย พวกเขาเล่นบอลโยนตลอด แต่โดยรวมเรารับมือได้ดี เพียงแต่เราเสียประตูจากจังหวะที่ควรป้องกันให้ดีกว่านี้”

“หลังจากโดนนำ 1-0 ผมคิดว่าทีมตอบสนองได้ดี ยิงกลับได้สองลูก ครองเกมไว้ได้หมด และมีโอกาสปิดเกมหลายครั้ง แต่สุดท้ายแค่บอลเดียวก็เปลี่ยนผลการแข่งขันได้ทั้งหมด นั่นคือพรีเมียร์ลีก”

แม้จะผิดหวัง แต่กุนซือวัย 42 ปี ยังคงให้กำลังใจลูกทีม พร้อมยกผลงานในช่วงที่ผ่านมาเป็นเครื่องยืนยันถึงความมุ่งมั่นของ “เดอะ กันเนอร์ส”

“ผมภูมิใจในตัวนักเตะมาก เพราะที่ผ่านมาเราชนะรวด 10 นัดโดยไม่เสียประตูเลย (8 นัดทุกรายการ) ทั้งที่ทีมมีผู้เล่นบาดเจ็บถึง 7 คน เกมนี้แม้จะไม่จบอย่างที่หวัง แต่ผมเห็นหัวใจของนักสู้ในทีมชัดเจนมาก”

ห้ามพลาด!