Home Blog

ยูโร 2028 ไร้เงาหงส์–สิงห์! ยูฟ่าแจงชัดสนามไม่ตรงมาตรฐาน

0

สหพันธ์ฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า) เปิดเผยเหตุผลอย่างเป็นทางการว่าทำไมสนามเหย้าของ ลิเวอร์พูล และ เชลซี รวมถึง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จึงไม่ได้รับเลือกเป็นหนึ่งในสังเวียนจัดการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2028 โดยประเด็นหลักอยู่ที่ข้อจำกัดด้านมาตรฐานสนามและความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน

หลังยูฟ่าออกประกาศรายชื่อสนามเจ้าภาพทัวร์นาเมนต์ใหญ่ในปี 2028 พบว่า ปรินซิพาลิตี้ สเตเดี้ยม ในคาร์ดิฟฟ์ จะรับหน้าที่จัดพิธีเปิด ขณะที่สนามเวมบลีย์ กรุงลอนดอน ยังคงเป็นสังเวียนสำคัญสำหรับรอบรองชนะเลิศและรอบชิงชนะเลิศ ส่วนสนามในพรีเมียร์ลีกหลายแห่ง เช่น ฮิลล์ ดิคกินสัน (เอฟเวอร์ตัน), วิลล่า พาร์ค (แอสตัน วิลล่า), ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ สเตเดี้ยม, เซนต์ เจมส์ พาร์ค และ เอติฮัด สเตเดี้ยม ต่างผ่านการคัดเลือกครบถ้วน

อย่างไรก็ตาม แอนฟิลด์, สแตมฟอร์ด บริดจ์ และโอลด์ แทรฟฟอร์ด ต่างถูกตัดชื่อออกทั้งหมด โดยมีเหตุผลดังนี้:

แอนฟิลด์ – ขนาดสนามไม่ตรงตามเกณฑ์ยูฟ่า

สนามเหย้าของลิเวอร์พูลมีความยาวของพื้นที่เล่นสั้นกว่ามาตรฐานที่ยูฟ่า ระบุไว้ (105 × 68 เมตร) อยู่ประมาณ 4 เมตร ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้สนามไม่สามารถผ่านการคัดเลือกได้ แม้สโมสรจะมีความพยายามแก้ไข แต่ติดข้อจำกัดด้านโครงสร้างและพื้นที่โดยรอบที่ทำให้ไม่สามารถขยายเพิ่มได้

สแตมฟอร์ด บริดจ์ – ขนาดสนามหญ้าสั้นกว่ากำหนด

สนามของเชลซีเผชิญปัญหาเดียวกัน โดยมีพื้นที่เล่นเพียง 103 × 67 เมตร ซึ่งต่ำกว่ามาตรฐานขั้นต่ำของยูฟ่า ส่งผลให้ถูกตัดสิทธิ์โดยอัตโนมัติ

โอลด์ แทรฟฟอร์ด – ความเก่าและความไม่พร้อมของโครงสร้าง

ในส่วนของโอลด์ แทรฟฟอร์ด แม้จะเป็นหนึ่งในสนามที่ใหญ่ที่สุดในอังกฤษ แต่ยูฟ่ามองว่าขาดการปรับปรุงครั้งใหญ่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้หลายโซนมีปัญหาเชิงโครงสร้าง ไม่สอดคล้องกับความต้องการด้านความปลอดภัยและมาตรฐานของทัวร์นาเมนต์ นอกจากนี้ ในปี 2023 สโมสรยังไม่สามารถให้ข้อมูลชัดเจนเกี่ยวกับแผนความพร้อมของสนาม ทำให้ถูกพิจารณาตัดออกในที่สุด

การคัดเลือกครั้งนี้สะท้อนถึงความเข้มงวดของยูฟ่าในการกำหนดมาตรฐานสังเวียนแข่งขัน รวมถึงความจำเป็นที่สโมสรต่าง ๆ ต้องเร่งพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกให้ทันยุคสมัย หากต้องการกลับมาเป็นเจ้าภาพทัวร์นาเมนต์ใหญ่ในอนาคต.

ยูไนเต็ดกำลังถอยหลัง! เอริค คันโตน่า โทษ “เซอร์ จิม”

0

เอริค คันโตน่า ตำนานหมายเลข 7 ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ออกโรงวิจารณ์อย่างดุเดือดถึงแนวทางการบริหารของ เซอร์ จิม แรตคลิฟฟ์ มหาเศรษฐีชาวอังกฤษและผู้ถือหุ้นรายใหม่ของสโมสร โดยมองว่าการเข้ามาของ INEOS กำลังทำให้ทีมสูญเสียเอกลักษณ์และเสน่ห์แบบ “ปีศาจแดง” ที่เคยมี

แรตคลิฟฟ์เข้าซื้อหุ้น 27.7% ของสโมสรเมื่อกุมภาพันธ์ 2024 พร้อมรับอำนาจบริหารด้านฟุตบอลจากตระกูลเกลเซอร์ ช่วงแรกแฟนบอลยังพอมองเห็นความหวัง หลังทีมผงาดคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ 2024 แต่หลังการปลด เอริก เทน ฮาก และการแต่งตั้ง รูเบน อาโมริม ผลงานกลับไม่เป็นไปตามเป้า จนเสียงวิจารณ์เริ่มหนาหูขึ้นเรื่อย ๆ

ล่าสุด ในงาน An Evening with Eric The King Cantona อดีตซูเปอร์สตาร์รายนี้เปิดใจแบบไม่มีกั๊ก เผยว่าเขาเคยตั้งใจจะเข้ามามีบทบาทช่วยสโมสรในช่วงเปลี่ยนผ่าน แต่กลับถูกเมินเฉยจากผู้บริหารชุดใหม่

คันโตน่ากล่าวว่า
“ผมมีโปรเจกต์มากมาย แต่คิดว่าซัก 2–3 ปี ผมพร้อมจะทิ้งทุกอย่างเพื่อช่วยสโมสรที่มอบทุกอย่างให้ผม แต่ดูเหมือนว่าเขา (แรตคลิฟฟ์) ไม่สนใจเลย ผมทำเต็มที่แล้วจึงไม่รู้สึกผิดอะไร”

เขายังวิจารณ์แนวทางฟุตบอลของทีมในยุคใหม่ว่าไม่สอดคล้องกับมรดกที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เคยสร้างเอาไว้
“เฟอร์กี้สร้างฟุตบอลเกมรุกที่งดงาม เจ้าของใหม่ควรสานต่อ แต่นี่กลับทำลายมัน”

คันโตน่ายังพูดถึงบรรยากาศในสนามโอลด์ แทรฟฟอร์ดว่าเปลี่ยนไปมาก
“ผมไปดูเกมเจอซิตี้เมื่อฤดูกาลที่แล้ว และมันเงียบมาก แฟนยูไนเต็ดยุคนี้อยากไปเกมเยือนมากกว่า เพราะได้อยู่กับแฟนบอลตัวจริง แทนที่จะเจอกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มาเพื่อช้อปปิ้งของที่ระลึกในสโมสร”

ตำนานรายนี้ยังเสริมว่าหากวันนี้เขาต้องเลือกสโมสรเชียร์ในฐานะแฟนบอล เขาอาจไม่เลือกแมนฯ ยูไนเต็ด
“ผมไม่รู้สึกเชื่อมโยงกับโปรเจกต์นี้เลย ตั้งแต่แรตคลิฟฟ์เข้ามา ทุกอย่างตรงข้ามกับสิ่งที่ควรเป็น พวกเขาไม่เคารพแฟนบอล ไม่เคารพผู้จัดการทีม ไม่เคารพใครทั้งนั้น ถึงขั้นอยากจะเปลี่ยนสนามด้วยซ้ำ”

คำให้สัมภาษณ์ของคันโตน่าถูกมองว่าเป็นอีกหนึ่งเสียงสะท้อนจากบุคลากรระดับตำนานที่ไม่พอใจแนวทางของผู้บริหารชุดใหม่ ท่ามกลางอนาคตอันไม่แน่นอนของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทั้งในสนามและนอกสนามในเวลานี้.

“ฮาลันด์”เหมาชีสเบอร์เกอร์เลี้ยง หลังถล่มเอสโตเนีย 4-1

0

บรรยากาศในแคมป์ทีมชาตินอร์เวย์กลายเป็นงานเลี้ยงทันทีหลังสิ้นเสียงนกหวีดสุดท้าย เมื่อ เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ หัวหอกฟอร์มระเบิดของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ควักเงินจัด “ชีสเบอร์เกอร์” มากกว่า 70 ชิ้น ฉลองให้เพื่อนร่วมทีม หลังทัพไวกิ้งเปิดบ้านถล่ม เอสโตเนีย 4-1 ขยับเข้าใกล้การไปลุยฟุตบอลโลก 2026 รอบสุดท้ายอย่างเต็มตัว

ชัยชนะในเกมนี้ทำให้นอร์เวย์มี 21 คะแนน นั่งจ่าฝูงกลุ่ม I ทิ้ง อิตาลี รองจ่าฝูงอยู่ 3 แต้ม พร้อมประตูได้–เสียที่เหนือกว่าไกลถึง +17 และเหลือการแข่งขันอีกเพียงนัดเดียว เท่ากับว่าพวกเขาแทบจะยืนครึ่งขาในรอบสุดท้ายเรียบร้อย

ฮาลันด์ ซึ่งได้รับปลอกแขนกัปตันทีมแทน มาร์ติน โอเดการ์ด ที่บาดเจ็บ ไม่เพียงแค่ยิงประตูเพิ่มเป็นลูกที่ 29 และ 30 ของฤดูกาล แต่ยังโชว์ความเป็นผู้นำทั้งในสนามและนอกสนาม ด้วยการสั่งเบอร์เกอร์จำนวนมหาศาลให้ทั้งทีมได้ฉลองอย่างชื่นมื่น

หลังเกมมีภาพชัดเจน—ดาวยิงวัย 25 ปี หอบถุงชีสเบอร์เกอร์เป็นตั้ง ๆ กลับเข้าไปในห้องแต่งตัวจนแฟนบอลแซวว่า “กัปตันฮาลันด์ไม่เคยทำให้ผิดหวัง”

หนึ่งในผู้ยืนยันความฟินคือ ซานเดอร์ เบอร์เก้ ห้องเครื่องจากฟูแล่มที่กล่าวสั้น ๆ แต่ชัดเจนว่า
“กัปตันของเราทำได้ยอดเยี่ยมจริง ๆ!”

แสดงให้เห็นว่าฮาลันด์ไม่ได้เป็นแค่เครื่องจักรทำประตู แต่ยังเป็นหัวใจสำคัญของห้องแต่งตัวทีมชาติชุดนี้อย่างแท้จริง

หมอนทองวิทยาสู้สุดหัวใจ! พ่าย “ทีมบอยท่าพระจันทร์”

0

ศึกฟุตบอลนัดพิเศษที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม เสียงปรบมือ และความมันทุกจังหวะ — หมอนทองวิทยา ลงสนามเกมกระชับมิตรพบกับ ทีมบอยท่าพระจันทร์ ก่อนจะสู้สุดใจแต่พ่ายไปแบบเฉียดฉิว 2-3 ในเกมที่แฟนบอลติดขอบสนามอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง

ทีมหมอนทองวิทยา ภายใต้การปลุกปั้นของ อาจารย์สกล เกลี้ยงประเสริฐ ผู้ทำหน้าที่ทั้งโค้ช ทั้งคนขับรถพาทีมลุยฝัน จนสร้างปรากฏการณ์ทะยานถึงรอบรองชนะเลิศบอล 7 สี ก่อนพ่าย อบจ.ชัยนาท 1-2 ท่ามกลางบรรยากาศที่สนามศุภชลาศัยแทบแตกจากแฟนบอลที่เข้ามาเชียร์แน่นขนัด

หลังจบเกมใหญ่ ทีมจากบางน้ำเปรี้ยวยังต้องลงเตะนัดกระชับมิตรทันที กับทีม VIP สุดพิเศษของ บอยท่าพระจันทร์ ที่นำทีมโดยเซเลบริตี้กีฬา–บันเทิงครบชุด ทั้ง ก้อง ห้วยไร่, หมอแจ็ค จากภาพยนตร์ “สัปเหร่อ”, และ กฤษดา วงษ์แก้ว ตำนานฟุตซอลทีมชาติไทย

เกมนี้เตะกันครึ่งละ 40 นาที และเพียงครึ่งแรกทีมบอยท่าพระจันทร์ก็โชว์ของขึ้นนำ 2-0

  • นาที 22 ก้อง ห้วยไร่ สลัดคราบนักร้อง ซัดเปิดสกอร์อย่างเฉียบ
  • นาที 40 เอกภูมิ โพธารุ่งโรจน์ หลุดยิงตุงตาข่าย ส่งทีม VIP ขยับหนีเป็น 2-0

ครึ่งหลังหมอนทองไม่ยอมง่าย ๆ นาที 48 สุทธิพงศ์ อิสระ ยิงตีไข่แตก ไล่มาเป็น 1-2 จุดไฟความหวังของทั้งสนามให้ลุกโชนอีกครั้ง

แต่ทีมบอยท่าพระจันทร์ยังคงมีจังหวะหวาดเสียวหลายครั้ง โดยเฉพาะ ศุภวุฒิ เถื่อนกลาง ที่ได้โอกาสใส่สกอร์เพิ่ม แต่ทั้งติดเซฟและซัดหลุดกรอบไปเอง ขณะที่ “เต วรากร” ดาวเด่นของหมอนทองมีอาการเจ็บ ทำให้สตาฟฟ์ต้องเปลี่ยนออกเพื่อความปลอดภัย

นาที 79 ทีมบอยท่าพระจันทร์มาไล่บวกประตูที่สาม หนีเป็น 3-1 ยิ่งเพิ่มความกดดันให้หมอนทองต้องเร่งทุกจังหวะ

กระทั่งช่วงทดเจ็บนาที 80+2 ณัฐวุฒิ หอมกรุ่น ยิงให้หมอนทองไล่มา 2-3 แต่ก็ไม่ทัน จบเกมทีมบอยท่าพระจันทร์เฉือนชนะไปแบบสนุกสุดมัน

แม้ผลจะเป็นฝ่ายพ่าย แต่ฟอร์มของหมอนทองวิทยายังคงสะกดคำว่า “หมดใจ” ไม่เป็น — และเกมนี้คืออีกหนึ่งภาพชัดเจนว่า ทำไมทีมจากอำเภอบางน้ำเปรี้ยวถึงกลายเป็นทีมขวัญใจแฟนบอลทั้งประเทศในชั่วโมงนี้ 🔥⚽

“5 แข้งราชัน” ไม่ปลื้มแนวทาง “อลอนโซ่” แม้นำฝูงลาลีกา

0

ยังไม่ทันจบฤดูกาลดี ก็เริ่มมีกลิ่นปัญหาในรั้วซานติอาโก้ เบร์นาเบว — เมื่อ มุนโด เดปอร์ติโบ สื่อดังแดนกระทิงดุ รายงานว่า มีนักเตะถึง 5 คนในทีมเรอัล มาดริด ที่เริ่มไม่พอใจกับแนวทางการคุมทีมของ ชาบี อลอนโซ่ แม้ผลงานโดยรวมจะยังรั้งจ่าฝูงลาลีกาอยู่ก็ตาม

จากรายงานระบุชื่อชัด — ติโบต์ กูร์กตัวส์, วินิซิอุส จูเนียร์, จู๊ด เบลลิงแฮม, เอดูอาร์โด้ คามาวิงก้า และ เฟเดริโก้ บัลเบร์เด้ คือกลุ่มนักเตะที่ไม่แฮปปี้กับระบบการเล่นของอดีตกองกลางลิเวอร์พูล โดยเฉพาะแนวทางการ “เริ่มเกมจากแนวหลัง” และการครองบอลในแดนตัวเองที่ถูกมองว่า “เสี่ยงเกินไป”

ย้อนกลับไปในเกม เอล กลาซิโก้ กับบาร์เซโลนา มีสัญญาณความตึงเครียดให้เห็น เมื่อ วินิซิอุส แสดงอาการไม่พอใจหลังถูกเปลี่ยนตัวออกกลางเกม แม้ภายหลังจะออกมาขอโทษเพื่อนร่วมทีมและสโมสร แต่กลับไม่มีการเอ่ยถึงชื่อ “อลอนโซ่” ในคำขอโทษนั้นเลย

ขณะที่ เบลลิงแฮม ก็เริ่มมีความกังวลต่อระบบของกุนซือชาวสเปน หลังโดนวิจารณ์เรื่องทัศนคติและบทบาทในทีม ส่วนทางด้าน คามาวิงก้า และ บัลเบร์เด้ ก็ไม่พอใจที่ถูกโยกไปเล่นในตำแหน่งที่ไม่ถนัดหลายครั้ง โดยเฉพาะ บัลเบร์เด้ ที่ต้องลงเล่นแบ็กขวาชั่วคราวแทน ดานี่ การ์บาฆาล และ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ที่เจ็บยาว

นอกจากนี้ แหล่งข่าววงในยังเผยว่า แข้งราชันบางส่วนรู้สึกอึดอัดกับสไตล์การคุมทีมแบบ “ระเบียบจัด” ของอลอนโซ่ ที่ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีการซ้อม ทั้ง วิดีโอรีวิว, โดรนติดตามนักเตะ และ ระบบวิเคราะห์ข้อมูลแบบละเอียดทุกจังหวะ ซึ่งแตกต่างจากแนวทางที่ “ผ่อนคลายกว่า” ของอดีตกุนซืออย่าง คาร์โล อันเชล็อตติ และ ซีเนดีน ซีดาน อย่างสิ้นเชิง

แม้มาดริดในยุคอลอนโซ่จะพลาดท่าแพ้แค่เกมเดียวในลีก แต่ผลงานใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ยังไม่เปรี้ยงเท่าที่ควร โดยสื่อสเปนวิเคราะห์ว่า ทีมยัง “ขาดความดุดันในพื้นที่สุดท้าย” และการเคลื่อนที่ในแนวรุกยังไม่ลื่นไหลเท่ากับยุคก่อนหน้า

ความกดดันจึงเริ่มโหมเข้าหาอดีตกองกลางเลือดกระทิงรายนี้อย่างต่อเนื่อง แม้จะนำฝูงอยู่ก็ตาม เพราะในถิ่นเบร์นาเบว “ชัยชนะอย่างเดียวไม่พอ” — ต้องชนะด้วยสไตล์ที่คู่ควรกับคำว่า “ราชันแห่งสเปน” ด้วย

“อาร์เตต้า” เซ็งสุด! ปืนใหญ่พลาด 3 แต้มช่วงทดเจ็บ

0

มิเกล อาร์เตต้า ผู้จัดการทีมอาร์เซน่อล ออกอาการผิดหวังสุด ๆ หลังลูกทีมพลาดชัยชนะในวินาทีสุดท้าย เมื่อโดน ซันเดอร์แลนด์ ตามตีเสมอช่วงทดเวลาเจ็บ 2-2 ในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อคืนที่ผ่านมา

“ปืนใหญ่” เกือบเก็บสามแต้มกลับลอนดอนได้อยู่แล้ว หลังพลิกสถานการณ์จากการตามหลังมาเป็นนำ 2-1 แต่สุดท้ายกลับถูกยิงตีเสมอในช่วงทดเวลานาทีที่ 90+4 ทำให้ต้องแบ่งแต้มกันไปอย่างเจ็บใจ


⚽ รูปเกมสุดเดือด — ปืนใหญ่ชวดชัยในวินาทีสุดท้าย

เกมนี้เริ่มต้นไม่ง่ายสำหรับอาร์เซน่อล เมื่อเจ้าถิ่นได้เฮก่อนจากลูกยิงของ แดน บัลลาร์ด ในนาที 36 ส่งซันเดอร์แลนด์ออกนำ 1-0

อย่างไรก็ตาม หลังพักครึ่ง อาร์เซน่อลเร่งเครื่องเต็มกำลัง ก่อนจะได้ประตูตีเสมอจาก บูกาโย่ ซาก้า ในนาที 54 และพลิกนำจากลูกยิงของ เลอันโดร ทรอสซาร์ ในนาที 74

แต่แล้วฝันร้ายก็มาเยือนในช่วงทดเวลา เมื่อ ไบรอัน บร็อบบี้ ดาวยิงตัวสำรองของเจ้าถิ่นซัดประตูตีเสมอ 2-2 นาทีที่ 90+4 ช่วยให้ “แมวดำ” คว้าแต้มสุดล้ำค่าในบ้าน

ผลเสมอเกมนี้ทำให้อาร์เซน่อลมีเพิ่มเป็น 26 คะแนน ยังคงรั้งจ่าฝูงต่อไป แต่เสียโอกาสทองในการทำแต้มหนีคู่แข่ง และพลาดสถิติชนะรวดในลีก 11 นัด รวมถึงหยุดสถิติ “คลีนชีต 9 เกมติด” ลงด้วย


🎙️ “อาร์เตต้า” ผิดหวัง แต่ยังยกเครดิตลูกทีม

หลังจบเกม กุนซือชาวสเปนเปิดใจด้วยน้ำเสียงทั้งเสียดายและยอมรับในผลงานของคู่แข่ง

“มันมีเกมแบบนี้อยู่เสมอในพรีเมียร์ลีก เราเสียประตูจากสิ่งที่รู้ว่าเป็นจุดแข็งของพวกเขา — บอลยาวและลูกกลางอากาศ พวกเขาทำได้ดีมากจริง ๆ”

อาร์เตต้ากล่าวต่อว่า

“แน่นอนว่าเราผิดหวังที่หลุดไป 2 แต้ม เกมนี้ไม่ง่ายเลย พวกเขาเล่นบอลโยนตลอด แต่โดยรวมเรารับมือได้ดี เพียงแต่เราเสียประตูจากจังหวะที่ควรป้องกันให้ดีกว่านี้”

“หลังจากโดนนำ 1-0 ผมคิดว่าทีมตอบสนองได้ดี ยิงกลับได้สองลูก ครองเกมไว้ได้หมด และมีโอกาสปิดเกมหลายครั้ง แต่สุดท้ายแค่บอลเดียวก็เปลี่ยนผลการแข่งขันได้ทั้งหมด นั่นคือพรีเมียร์ลีก”

แม้จะผิดหวัง แต่กุนซือวัย 42 ปี ยังคงให้กำลังใจลูกทีม พร้อมยกผลงานในช่วงที่ผ่านมาเป็นเครื่องยืนยันถึงความมุ่งมั่นของ “เดอะ กันเนอร์ส”

“ผมภูมิใจในตัวนักเตะมาก เพราะที่ผ่านมาเราชนะรวด 10 นัดโดยไม่เสียประตูเลย (8 นัดทุกรายการ) ทั้งที่ทีมมีผู้เล่นบาดเจ็บถึง 7 คน เกมนี้แม้จะไม่จบอย่างที่หวัง แต่ผมเห็นหัวใจของนักสู้ในทีมชัดเจนมาก”

“อโมริม” เครียด! หวั่น “เชชโก้” เจ็บหัวเข่าหนักอาจพักยาว

0

รูเบน อโมริม ผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยอมรับว่ารู้สึก “กังวลไม่น้อย” กับอาการบาดเจ็บที่หัวเข่าของ เบนจามิน เชชโก้ กองหน้าทีมชาติสโลวีเนีย หลังได้รับบาดเจ็บในเกมพรีเมียร์ลีกที่ “ปีศาจแดง” บุกเสมอ ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ 2-2 เมื่อคืนที่ผ่านมา

ในเกมดังกล่าว แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องเล่นเพียง 10 คนช่วงท้ายเกม แต่ยังฮึดตีเสมอจากลูกโหม่งของ มัตไธส์ เดอ ลิกต์ ในนาที 90+6 เก็บแต้มสำคัญออกจากลอนดอนเหนือได้สำเร็จ ทำให้ทีมของอโมริมมีเพิ่มเป็น 18 คะแนน ขยับขึ้นมาอยู่อันดับ 8 ของตาราง และยังคง “ไร้พ่ายในลีก 5 นัดติดต่อกัน”
ส่วนเจ้าบ้าน สเปอร์ส มีแต้มเท่ากันที่ 18 คะแนน แต่ประตูได้เสียดีกว่า รั้งอันดับ 5 ต่อไป


💥 จุดเปลี่ยนสำคัญของเกม

เชชโก้ ถูกส่งลงสนามในช่วงครึ่งหลังเพื่อเพิ่มความอันตรายในแดนหน้า และเกือบทำประตูให้ทีมออกนำอีกครั้ง แต่จังหวะสุดท้ายถูก มิกกี้ ฟาน เดอ เฟ่น กองหลังเจ้าถิ่นพุ่งเข้าสกัดได้อย่างเฉียบขาด

หลังจากนั้นเพียงไม่นาน หัวหอกวัย 22 ปีมีอาการเจ็บบริเวณหัวเข่าซ้ายจนต้องนั่งลงกับพื้น และไม่สามารถเล่นต่อได้ ทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องเหลือผู้เล่นเพียง 10 คน เนื่องจากใช้สิทธิ์เปลี่ยนตัวครบไปแล้ว


🎙️ “อโมริม” เปิดใจหลังเกม

หลังจบเกม กุนซือชาวโปรตุกีสเปิดเผยความรู้สึกต่อเหตุการณ์นี้ว่า

“มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ในฟุตบอล โดยเฉพาะกับผู้เล่นตำแหน่งกองหน้า ผมไม่ได้กังวลเรื่องฟอร์มของเขาเลย สิ่งที่ผมเป็นห่วงมากกว่าคืออาการบาดเจ็บ เพราะมันเกิดขึ้นตรงหัวเข่า ซึ่งเราไม่มีทางรู้ได้ว่ามันหนักแค่ไหนจนกว่าจะตรวจละเอียด”

เมื่อผู้สื่อข่าวถามต่อว่าอาการของเชชโก้อาจร้ายแรงหรือไม่ อโมริมตอบอย่างระมัดระวังว่า

“ผมยังตอบไม่ได้ในตอนนี้ แต่เพราะมันเกี่ยวกับหัวเข่า เราจำเป็นต้องรอผลตรวจจากทีมแพทย์ก่อน ผมแค่หวังว่ามันจะไม่ใช่อาการที่รุนแรง”


🔍 โปรแกรมต่อไป

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีคิวกลับไปเล่นในถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด พบกับ เอฟเวอร์ตัน ในคืนวันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายนนี้ ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งเกมสำคัญก่อนเข้าสู่ช่วงโปรแกรมแน่นปลายปี

แฟนบอล “ปีศาจแดง” คงต้องภาวนาให้ผลตรวจของ เบนจามิน เชชโก้ ออกมาไม่ร้ายแรงนัก เพราะเจ้าหนูจากสโลวีเนียรายนี้ถือเป็นหนึ่งในคีย์แมนเกมรุกที่รูเบน อโมริมฝากความหวังไว้มากที่สุดในเวลานี้

วิเคราะห์บอลพรีเมียร์ลีก! สเปอร์ส เปิดรังรับ แมนยู 8 พ.ย.68

0

ศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2025/26 เดินทางมาถึงสัปดาห์ที่ 11 โดยคู่ไฮไลต์ประจำคืนวันเสาร์ที่ 8 พฤศจิกายนนี้ เวลา 19.30 น. (ตามเวลาประเทศไทย) จะเป็นการพบกันระหว่าง ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ ทีมอันดับ 6 ที่จะเปิดสนามท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ สเตเดี้ยม ต้อนรับการมาเยือนของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมอันดับ 8 ของตาราง

เกมนี้ถือเป็นการรีแมตช์หลังทั้งสองทีมเพิ่งดวลกันในนัดชิงยูโรป้า ลีก ซีซั่นก่อน ซึ่ง “ไก่เดือยทอง” เฉือนชนะไปได้ 1-0 และถ้านับรวมทุกรายการ “ปีศาจแดง” ไม่สามารถชนะสเปอร์สได้เลยตลอด 7 นัดหลังสุด (เสมอ 2 แพ้ 5) และแพ้รวดใน 4 ครั้งหลังสุดอีกด้วย


⚽ สภาพความพร้อม “สเปอร์ส” : รอลุ้น คูดุส ฟิต / แฟร้งค์ หวังคืนฟอร์มหลังสะดุดลีก

โธมัส แฟร้งค์ กุนซือเจ้าถิ่น พาทีมเรียกความมั่นใจกลับมาได้ในเกมยุโรปกลางสัปดาห์ หลังถล่ม เอฟซี โคเปนเฮเก้น 4-0 ในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก แต่เกมลีกก่อนหน้านี้ดันพลาดท่าแพ้เชลซีคาบ้าน 0-1 ทำให้มี 17 คะแนนจาก 10 นัด

ขุมกำลังนัดนี้ยังต้องเช็กฟิต โมฮาเหม็ด คูดุส ที่พลาดลงในเกมยุโรป หากไม่ผ่านความฟิต คาดว่า เบรนแนน จอห์นสัน จะถูกดันมายืนริมเส้นขวาแทน ส่วนฝั่งซ้ายมีลุ้นระหว่าง ชาวี ซิโมนส์ กับ วิลสัน โอโดแบร์ ที่ฟอร์มกำลังร้อนแรง

รายชื่อผู้เล่นบาดเจ็บยังยาวเหยียด — นำโดย เจมส์ แมดดิสัน, เดยัน คูลูเซฟสกี้, ราดู ดรากูชิน, โดมินิก โซลันกี้, อีฟส์ บิสซูม่า, เบน เดวิส, โกตะ ทาคาอิ และ อาร์ชี่ เกรย์ ขณะที่ ลูคัส เบิร์กวาลล์ ยังไม่พร้อมหลังมีอาการกระทบกระเทือนศีรษะ

📋 11 ตัวจริงที่คาดของ สเปอร์ส (4-3-3)
กูเยลโม่ วิคาริโอ – เปโดร ปอร์โร่, คริสเตียน โรเมโร่, มิกกี้ ฟาน เดอ เฟ่น, เจด สเปนซ์ – โรดริโก้ เบนตานกูร์, ชูเอา ปาลินญ่า, ป๊าป ซาร์ – โมฮาเหม็ด คูดุส, ริชาร์ลิซอน, ชาวี ซิโมนส์


🔴 สภาพความพร้อม “แมนยูฯ” : อโมริมฟอร์มแรง / เชชโก้–เอ็มเบอโม่พร้อมลุย

ด้านทีมเยือน แมนฯ ยูไนเต็ด ของ รูเบน อโมริม กำลังอยู่ในช่วงมั่นใจ หลังพาทีมคว้าชัยในลีก 3 นัดรวดก่อนมาสะดุดเสมอ ฟอเรสต์ 2-2 เกมล่าสุด มี 17 คะแนนเท่ากับเจ้าบ้าน

ข่าวดีคือ ลิซานโดร มาร์ติเนซ กลับมาซ้อมได้แล้วหลังพักยาวจากอาการเจ็บเข่า แม้ยังไม่น่าทันเกมนี้ แต่ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ พร้อมเสียบแทน หลังกลับมามีชื่อในเกมก่อนหน้านี้ ด้านแดนกลางยังคงใช้ บรูโน่ แฟร์นันด์ส จับคู่ กาเซมีโร่ คุมจังหวะเกม ส่วนแนวรุกจัดเต็ม — ไบรอัน เอ็มเบอโม่ เจ้าของรางวัลแข้งยอดเยี่ยมเดือนตุลาคม ยืนทำเกมร่วมกับ มาเตอุส คุนญ่า และ เบนจามิน เชชโก้

📋 11 ตัวจริงที่คาดของ แมนฯ ยูไนเต็ด (3-4-2-1)
เซนเน่อ ลัมเมนส์ – เลนี่ โยโร่, มัตไธส์ เดอ ลิกต์, ลุค ชอว์ – อาหมัด ดิยัลโล่, กาเซมีโร่, บรูโน่ แฟร์นันด์ส, ดีโอโก้ ดาโล่ต์ – ไบรอัน เอ็มเบอโม่, มาเตอุส คุนญ่า – เบนจามิน เชชโก้


🔍 วิเคราะห์เกม

ทั้งสองทีมมีแต้มเท่ากันและฟอร์มสูสี แต่จุดต่างสำคัญคือ “ความคมในพื้นที่สุดท้าย” สเปอร์สในบ้านมักเล่นดุดัน เกมบุกยังอันตรายโดยเฉพาะฝั่งขวา ขณะที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ของอโมริมมีเกมรุกที่หลากหลายขึ้นชัดเจน แต่ยังมีจุดเปราะในแนวรับ โดยเฉพาะเวลาที่ต้องรับแรงกดดันต่อเนื่อง

สถิติข่มชัดเจน : สเปอร์สไม่แพ้แมนยูเลยใน 7 นัดหลังสุด และชนะรวด 4 ครั้งหลังสุดในทุกรายการ แถมเกมนี้ได้เสียงเชียร์ในรังลอนดอนเหนือที่ยังแข็งแกร่ง


⚔️ ความน่าจะเป็นของเกม

เกมนี้น่าจะเปิดหน้าแลกกันตั้งแต่นาทีแรก เพราะต่างฝ่ายต่างต้องการสามแต้มเพื่อไล่บี้พื้นที่ยุโรป แต่เมื่อเทียบความมั่นใจในบ้านและสถิติที่เหนือกว่า “ไก่เดือยทอง” มีภาษีมากกว่าเล็กน้อย

คาดการณ์ผลการแข่งขัน:
🔹 สเปอร์ส เฉือนชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด 1-0
แมนออฟเดอะแมตช์คาดว่า: ชูเอา ปาลินญ่า

ฟุตบอล 7 สี จากทีมรองบ่อนสู่ผู้ท้าชิงแชมป์

0

ศึกฟุตบอลนักเรียน 7 สี ปีการศึกษา 2568 เดินทางมาถึงบทสรุปสุดเข้มข้น — คู่ชิงในปีนี้คือ “โรงเรียนอบจ.ชัยนาท” ดวลกับ “หมอนทองวิทยา” ทีมดังจากฉะเชิงเทรา ที่กลายเป็นไวรัลไปทั่วประเทศด้วยฟอร์มสุดเร้าใจและพลังใจเกินร้อย

แต่หากย้อนไปในอดีต คำว่า “ทีมต่างจังหวัด” แทบไม่มีพื้นที่ในลิสต์ผู้ชนะของรายการนี้ เพราะแชมป์ส่วนใหญ่ถูกผูกขาดโดยโรงเรียนยักษ์จากกรุงเทพฯและปริมณฑล ทั้งอัสสัมชัญธนบุรี, เทพศิรินทร์, สุรศักดิ์มนตรี หรือราชวินิตบางแก้ว คือชื่อที่แฟนบอล 7 สีคุ้นหูเป็นอย่างดี
จะมีก็เพียงไม่กี่ครั้งที่แชมป์หลุดออกนอกเมืองหลวง เช่น อัสสัมชัญศรีราชา (ชลบุรี) ปี 2009-2010 หรือจุฬาภรราชวิทยาลัย ปทุมธานี ในปี 2006

แต่ภาพนั้น…มันเปลี่ยนไปแล้ว!

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทีมจากต่างจังหวัดเริ่มขยับขึ้นมา “ท้าทายอำนาจเมืองหลวง” อย่างเต็มตัว หนึ่งในโมเมนต์พลิกประวัติศาสตร์คือ “กันทรารมณ์วิทยา” จากศรีสะเกษ ที่เคยคว้าแชมป์ได้แบบเหนือความคาดหมาย และล่าสุด หมอนทองวิทยา ก็สานต่อปรากฏการณ์นี้ด้วยการทะลุเข้าชิงในปีนี้

ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า ฟุตบอล 7 สี ไม่ได้เป็นเกมของ “ทีมเต็ง” อีกต่อไป — แต่มันคือสนามของ “โอกาสที่เท่าเทียม” สำหรับทุกโรงเรียนทั่วประเทศ


⚙️กฎเกมที่สร้างความเท่าเทียม

เคล็ดลับของความ “ยากจะคาดเดา” ของบอล 7 สี อยู่ที่ตัวกติกาเอง — เพราะนี่คือเกมที่ “ไม่มีกฎล้ำหน้า”!
สิ่งนี้เปลี่ยนโฉมแท็กติกไปอย่างสิ้นเชิง ทีมเล็กที่ไม่มีซูเปอร์สตาร์ระดับโรงเรียนดัง สามารถใช้ความเร็ว ไหวพริบ และการจบสกอร์ที่เฉียบขาดพลิกเกมได้ในพริบตา การวางหมากแบบบุกสวนกลับเร็วจึงกลายเป็นอาวุธร้ายที่โค้ชจากภูธรใช้ได้ผลอยู่บ่อยครั้ง

อีกจุดหนึ่งที่ทำให้บอล 7 สี แตกต่างจากฟุตบอล 11 คน คือ “ขนาดสนามและจำนวนนักเตะ” — เมื่อพื้นที่เล็กลง ความผิดพลาดเพียงเสี้ยววินาทีก็อาจกลายเป็นประตูได้ทันที เกมนี้จึงวัดกันด้วยสัญชาตญาณ ความเฉียบไว และทักษะเฉพาะตัว มากกว่าระบบทีมแบบยุโรป


🧩ปัจจัยสำคัญที่ล้มยักษ์

อีกหนึ่งความจริงที่หลายคนอาจมองข้าม คือ “ความล้าสะสม” ของทีมใหญ่จากกรุงเทพฯ
นักเตะโรงเรียนดังมักต้องกรำศึกหลายรายการตลอดปี — ทั้งกีฬาเขต, กีฬาเยาวชน, และรายการระดับกระทรวง ก่อนจะมาถึงศึก 7 สี ที่ถือเป็นเวทีใหญ่สุดท้ายของปี ผลคือร่างกายและจิตใจที่อ่อนล้า อาการบาดเจ็บสะสม และการขาดความสดในการเล่น
ขณะที่ทีมภูธรกลับได้เปรียบในแง่ความกระหาย ความฟิต และไฟแรงของนักเตะที่รอวันแจ้งเกิด

อีกส่วนที่ไม่ควรมองข้ามคือ “สมองของโค้ช” — หลายโรงเรียนภูธรดึงโค้ชระดับหัวกะทิจากเมืองหลวงไปคุมทีม หนึ่งในนั้นคือ “อาจารย์สกล เกลี้ยงประเสริฐ” ที่เคยปั้นเด็กเมืองกรุง ก่อนมาสร้างตำนานใหม่กับหมอนทองวิทยา


⚡บอล 7 สี = สนามแห่งหัวใจ

ทั้งหมดนี้หลอมรวมเป็นเหตุผลที่ทำให้ “บอล 7 สี” กลายเป็นรายการที่คาดเดายากที่สุดในวงการฟุตบอลเยาวชนไทย เพราะมันไม่วัดกันที่ชื่อเสียง ไม่วัดกันที่เงินสนับสนุน แต่วัดกันที่ “สมองของโค้ช” และ “หัวใจของนักเตะ”

นี่คือสนามที่ความสดใหม่ชนะชื่อชั้น และเป็นเวทีที่พิสูจน์ให้เห็นว่า “ทีมรอง” ก็สามารถเขียนประวัติศาสตร์ของตัวเองได้

และนั่นอาจเป็นสัญญาณที่ดีสุดสำหรับอนาคตของฟุตบอลไทย — เพราะบอล 7 สี ไม่ได้แค่สร้างแชมป์ แต่กำลังสร้าง “เพชรเม็ดงาม” ให้กับทีมชาติในวันข้างหน้า


🔥สรุป

บอล 7 สี วันนี้ ไม่ได้เป็นเกมของเมืองหลวงอีกต่อไป แต่มันคือสังเวียนแห่งความเท่าเทียม ที่เด็กจากทุกมุมประเทศสามารถยืนเคียงข้างทีมใหญ่ได้อย่างสง่างาม

และไม่ว่าปีนี้ถ้วยแชมป์จะอยู่ในมือใคร สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนที่สุดคือ — ฟุตบอลไทยกำลังเติบโตจาก “หัวใจ” ของเด็กเหล่านี้จริง ๆ

สรุปผลบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ลีกเฟส นัด 4

0

ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาล 2025/26 รอบ “ลีก เฟส” เดินทางมาถึงนัดที่ 4 เป็นที่เรียบร้อย เมื่อค่ำคืนวันที่ 4-5 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งผลการแข่งขันหลายคู่เป็นไปอย่างเข้มข้น โดย แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด โชว์ฟอร์มร้อนแรงพาเหรดคว้าชัย ขณะที่บิ๊กทีมอย่าง เชลซี และ บาร์เซโลน่า ทำได้เพียงเก็บแต้มเดียว

ในรอบลีกเฟสปีนี้ มีทั้งหมด 36 ทีมร่วมชิงชัย โดยหลังจบนัดที่ 8 จะคัดอันดับ 1-8 เข้ารอบน็อกเอาต์โดยอัตโนมัติ ส่วนทีมอันดับ 9-24 ต้องไปเพลย์ออฟชิงอีก 8 ที่นั่งเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้าย ขณะที่ทีมอันดับ 25 ลงไปจะตกรอบทันที ไม่มีสิทธิ์ตกไปเล่นยูโรป้า ลีก เหมือนระบบเดิม

สำหรับนัดล่าสุด มีเพียง 3 สโมสรเท่านั้นที่เก็บชัยได้ครบทั้ง 4 นัด นั่นคือ บาเยิร์น มิวนิค, อาร์เซน่อล และ อินเตอร์ มิลาน


⚽ ผลการแข่งขัน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2025/26

รอบลีกเฟส นัดที่ 4

📅 คืนวันอังคารที่ 4 พฤศจิกายน 2025

  • นาโปลี 0-0 ไอน์ทรัค แฟร้งค์เฟิร์ต
  • สลาเวีย ปราก 0-3 อาร์เซน่อล
  • แอตเลติโก มาดริด 3-1 อูนิโอน แซงต์ ชิลลัวส์
  • โบโด กลิมต์ 0-1 โมนาโก
  • ยูเวนตุส 1-1 สปอร์ติ้ง ลิสบอน
  • ลิเวอร์พูล 1-0 เรอัล มาดริด
  • โอลิมเปียกอส 1-1 พีเอสวี ไอนด์โฮเฟน
  • เปแอสเช 1-2 บาเยิร์น มิวนิค
  • ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ 4-0 เอฟซี โคเปนเฮเก้น

📅 คืนวันพุธที่ 5 พฤศจิกายน 2025

  • ปาฟอส 1-0 บียาร์เรอัล
  • คาราบัค 2-2 เชลซี
  • อาแจ็กซ์ 0-3 กาลาตาซาราย
  • เบนฟิก้า 0-1 ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น
  • คลับ บรูช 3-3 บาร์เซโลน่า
  • อินเตอร์ มิลาน 2-1 ไครัต
  • แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 4-1 โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์
  • โอลิมปิก มาร์กเซย 0-1 อตาลันต้า
  • นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด 2-0 แอธเลติก บิลเบา

📊 สถานการณ์ล่าสุด

หลังผ่าน 4 เกมแรก บาเยิร์น มิวนิค, อินเตอร์ มิลาน และ อาร์เซน่อล ยังคงยึดตำแหน่งหัวตารางแบบไร้พ่าย ขณะที่ แมนฯ ซิตี้ และ ลิเวอร์พูล ไล่จี้อยู่ไม่ห่าง ส่วน เชลซี และ บาร์เซโลน่า ต้องเร่งคืนฟอร์ม หากหวังจบใน 8 อันดับแรกเพื่อการันตีตั๋วรอบน็อกเอาต์โดยไม่ต้องเพลย์ออฟ

ห้ามพลาด!