Home Blog

“อาร์เตต้า” เซ็งสุด! ปืนใหญ่พลาด 3 แต้มช่วงทดเจ็บ

0

มิเกล อาร์เตต้า ผู้จัดการทีมอาร์เซน่อล ออกอาการผิดหวังสุด ๆ หลังลูกทีมพลาดชัยชนะในวินาทีสุดท้าย เมื่อโดน ซันเดอร์แลนด์ ตามตีเสมอช่วงทดเวลาเจ็บ 2-2 ในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อคืนที่ผ่านมา

“ปืนใหญ่” เกือบเก็บสามแต้มกลับลอนดอนได้อยู่แล้ว หลังพลิกสถานการณ์จากการตามหลังมาเป็นนำ 2-1 แต่สุดท้ายกลับถูกยิงตีเสมอในช่วงทดเวลานาทีที่ 90+4 ทำให้ต้องแบ่งแต้มกันไปอย่างเจ็บใจ


⚽ รูปเกมสุดเดือด — ปืนใหญ่ชวดชัยในวินาทีสุดท้าย

เกมนี้เริ่มต้นไม่ง่ายสำหรับอาร์เซน่อล เมื่อเจ้าถิ่นได้เฮก่อนจากลูกยิงของ แดน บัลลาร์ด ในนาที 36 ส่งซันเดอร์แลนด์ออกนำ 1-0

อย่างไรก็ตาม หลังพักครึ่ง อาร์เซน่อลเร่งเครื่องเต็มกำลัง ก่อนจะได้ประตูตีเสมอจาก บูกาโย่ ซาก้า ในนาที 54 และพลิกนำจากลูกยิงของ เลอันโดร ทรอสซาร์ ในนาที 74

แต่แล้วฝันร้ายก็มาเยือนในช่วงทดเวลา เมื่อ ไบรอัน บร็อบบี้ ดาวยิงตัวสำรองของเจ้าถิ่นซัดประตูตีเสมอ 2-2 นาทีที่ 90+4 ช่วยให้ “แมวดำ” คว้าแต้มสุดล้ำค่าในบ้าน

ผลเสมอเกมนี้ทำให้อาร์เซน่อลมีเพิ่มเป็น 26 คะแนน ยังคงรั้งจ่าฝูงต่อไป แต่เสียโอกาสทองในการทำแต้มหนีคู่แข่ง และพลาดสถิติชนะรวดในลีก 11 นัด รวมถึงหยุดสถิติ “คลีนชีต 9 เกมติด” ลงด้วย


🎙️ “อาร์เตต้า” ผิดหวัง แต่ยังยกเครดิตลูกทีม

หลังจบเกม กุนซือชาวสเปนเปิดใจด้วยน้ำเสียงทั้งเสียดายและยอมรับในผลงานของคู่แข่ง

“มันมีเกมแบบนี้อยู่เสมอในพรีเมียร์ลีก เราเสียประตูจากสิ่งที่รู้ว่าเป็นจุดแข็งของพวกเขา — บอลยาวและลูกกลางอากาศ พวกเขาทำได้ดีมากจริง ๆ”

อาร์เตต้ากล่าวต่อว่า

“แน่นอนว่าเราผิดหวังที่หลุดไป 2 แต้ม เกมนี้ไม่ง่ายเลย พวกเขาเล่นบอลโยนตลอด แต่โดยรวมเรารับมือได้ดี เพียงแต่เราเสียประตูจากจังหวะที่ควรป้องกันให้ดีกว่านี้”

“หลังจากโดนนำ 1-0 ผมคิดว่าทีมตอบสนองได้ดี ยิงกลับได้สองลูก ครองเกมไว้ได้หมด และมีโอกาสปิดเกมหลายครั้ง แต่สุดท้ายแค่บอลเดียวก็เปลี่ยนผลการแข่งขันได้ทั้งหมด นั่นคือพรีเมียร์ลีก”

แม้จะผิดหวัง แต่กุนซือวัย 42 ปี ยังคงให้กำลังใจลูกทีม พร้อมยกผลงานในช่วงที่ผ่านมาเป็นเครื่องยืนยันถึงความมุ่งมั่นของ “เดอะ กันเนอร์ส”

“ผมภูมิใจในตัวนักเตะมาก เพราะที่ผ่านมาเราชนะรวด 10 นัดโดยไม่เสียประตูเลย (8 นัดทุกรายการ) ทั้งที่ทีมมีผู้เล่นบาดเจ็บถึง 7 คน เกมนี้แม้จะไม่จบอย่างที่หวัง แต่ผมเห็นหัวใจของนักสู้ในทีมชัดเจนมาก”

“อโมริม” เครียด! หวั่น “เชชโก้” เจ็บหัวเข่าหนักอาจพักยาว

0

รูเบน อโมริม ผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยอมรับว่ารู้สึก “กังวลไม่น้อย” กับอาการบาดเจ็บที่หัวเข่าของ เบนจามิน เชชโก้ กองหน้าทีมชาติสโลวีเนีย หลังได้รับบาดเจ็บในเกมพรีเมียร์ลีกที่ “ปีศาจแดง” บุกเสมอ ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ 2-2 เมื่อคืนที่ผ่านมา

ในเกมดังกล่าว แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องเล่นเพียง 10 คนช่วงท้ายเกม แต่ยังฮึดตีเสมอจากลูกโหม่งของ มัตไธส์ เดอ ลิกต์ ในนาที 90+6 เก็บแต้มสำคัญออกจากลอนดอนเหนือได้สำเร็จ ทำให้ทีมของอโมริมมีเพิ่มเป็น 18 คะแนน ขยับขึ้นมาอยู่อันดับ 8 ของตาราง และยังคง “ไร้พ่ายในลีก 5 นัดติดต่อกัน”
ส่วนเจ้าบ้าน สเปอร์ส มีแต้มเท่ากันที่ 18 คะแนน แต่ประตูได้เสียดีกว่า รั้งอันดับ 5 ต่อไป


💥 จุดเปลี่ยนสำคัญของเกม

เชชโก้ ถูกส่งลงสนามในช่วงครึ่งหลังเพื่อเพิ่มความอันตรายในแดนหน้า และเกือบทำประตูให้ทีมออกนำอีกครั้ง แต่จังหวะสุดท้ายถูก มิกกี้ ฟาน เดอ เฟ่น กองหลังเจ้าถิ่นพุ่งเข้าสกัดได้อย่างเฉียบขาด

หลังจากนั้นเพียงไม่นาน หัวหอกวัย 22 ปีมีอาการเจ็บบริเวณหัวเข่าซ้ายจนต้องนั่งลงกับพื้น และไม่สามารถเล่นต่อได้ ทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องเหลือผู้เล่นเพียง 10 คน เนื่องจากใช้สิทธิ์เปลี่ยนตัวครบไปแล้ว


🎙️ “อโมริม” เปิดใจหลังเกม

หลังจบเกม กุนซือชาวโปรตุกีสเปิดเผยความรู้สึกต่อเหตุการณ์นี้ว่า

“มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ในฟุตบอล โดยเฉพาะกับผู้เล่นตำแหน่งกองหน้า ผมไม่ได้กังวลเรื่องฟอร์มของเขาเลย สิ่งที่ผมเป็นห่วงมากกว่าคืออาการบาดเจ็บ เพราะมันเกิดขึ้นตรงหัวเข่า ซึ่งเราไม่มีทางรู้ได้ว่ามันหนักแค่ไหนจนกว่าจะตรวจละเอียด”

เมื่อผู้สื่อข่าวถามต่อว่าอาการของเชชโก้อาจร้ายแรงหรือไม่ อโมริมตอบอย่างระมัดระวังว่า

“ผมยังตอบไม่ได้ในตอนนี้ แต่เพราะมันเกี่ยวกับหัวเข่า เราจำเป็นต้องรอผลตรวจจากทีมแพทย์ก่อน ผมแค่หวังว่ามันจะไม่ใช่อาการที่รุนแรง”


🔍 โปรแกรมต่อไป

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีคิวกลับไปเล่นในถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด พบกับ เอฟเวอร์ตัน ในคืนวันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายนนี้ ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งเกมสำคัญก่อนเข้าสู่ช่วงโปรแกรมแน่นปลายปี

แฟนบอล “ปีศาจแดง” คงต้องภาวนาให้ผลตรวจของ เบนจามิน เชชโก้ ออกมาไม่ร้ายแรงนัก เพราะเจ้าหนูจากสโลวีเนียรายนี้ถือเป็นหนึ่งในคีย์แมนเกมรุกที่รูเบน อโมริมฝากความหวังไว้มากที่สุดในเวลานี้

วิเคราะห์บอลพรีเมียร์ลีก! สเปอร์ส เปิดรังรับ แมนยู 8 พ.ย.68

0

ศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2025/26 เดินทางมาถึงสัปดาห์ที่ 11 โดยคู่ไฮไลต์ประจำคืนวันเสาร์ที่ 8 พฤศจิกายนนี้ เวลา 19.30 น. (ตามเวลาประเทศไทย) จะเป็นการพบกันระหว่าง ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ ทีมอันดับ 6 ที่จะเปิดสนามท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ สเตเดี้ยม ต้อนรับการมาเยือนของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมอันดับ 8 ของตาราง

เกมนี้ถือเป็นการรีแมตช์หลังทั้งสองทีมเพิ่งดวลกันในนัดชิงยูโรป้า ลีก ซีซั่นก่อน ซึ่ง “ไก่เดือยทอง” เฉือนชนะไปได้ 1-0 และถ้านับรวมทุกรายการ “ปีศาจแดง” ไม่สามารถชนะสเปอร์สได้เลยตลอด 7 นัดหลังสุด (เสมอ 2 แพ้ 5) และแพ้รวดใน 4 ครั้งหลังสุดอีกด้วย


⚽ สภาพความพร้อม “สเปอร์ส” : รอลุ้น คูดุส ฟิต / แฟร้งค์ หวังคืนฟอร์มหลังสะดุดลีก

โธมัส แฟร้งค์ กุนซือเจ้าถิ่น พาทีมเรียกความมั่นใจกลับมาได้ในเกมยุโรปกลางสัปดาห์ หลังถล่ม เอฟซี โคเปนเฮเก้น 4-0 ในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก แต่เกมลีกก่อนหน้านี้ดันพลาดท่าแพ้เชลซีคาบ้าน 0-1 ทำให้มี 17 คะแนนจาก 10 นัด

ขุมกำลังนัดนี้ยังต้องเช็กฟิต โมฮาเหม็ด คูดุส ที่พลาดลงในเกมยุโรป หากไม่ผ่านความฟิต คาดว่า เบรนแนน จอห์นสัน จะถูกดันมายืนริมเส้นขวาแทน ส่วนฝั่งซ้ายมีลุ้นระหว่าง ชาวี ซิโมนส์ กับ วิลสัน โอโดแบร์ ที่ฟอร์มกำลังร้อนแรง

รายชื่อผู้เล่นบาดเจ็บยังยาวเหยียด — นำโดย เจมส์ แมดดิสัน, เดยัน คูลูเซฟสกี้, ราดู ดรากูชิน, โดมินิก โซลันกี้, อีฟส์ บิสซูม่า, เบน เดวิส, โกตะ ทาคาอิ และ อาร์ชี่ เกรย์ ขณะที่ ลูคัส เบิร์กวาลล์ ยังไม่พร้อมหลังมีอาการกระทบกระเทือนศีรษะ

📋 11 ตัวจริงที่คาดของ สเปอร์ส (4-3-3)
กูเยลโม่ วิคาริโอ – เปโดร ปอร์โร่, คริสเตียน โรเมโร่, มิกกี้ ฟาน เดอ เฟ่น, เจด สเปนซ์ – โรดริโก้ เบนตานกูร์, ชูเอา ปาลินญ่า, ป๊าป ซาร์ – โมฮาเหม็ด คูดุส, ริชาร์ลิซอน, ชาวี ซิโมนส์


🔴 สภาพความพร้อม “แมนยูฯ” : อโมริมฟอร์มแรง / เชชโก้–เอ็มเบอโม่พร้อมลุย

ด้านทีมเยือน แมนฯ ยูไนเต็ด ของ รูเบน อโมริม กำลังอยู่ในช่วงมั่นใจ หลังพาทีมคว้าชัยในลีก 3 นัดรวดก่อนมาสะดุดเสมอ ฟอเรสต์ 2-2 เกมล่าสุด มี 17 คะแนนเท่ากับเจ้าบ้าน

ข่าวดีคือ ลิซานโดร มาร์ติเนซ กลับมาซ้อมได้แล้วหลังพักยาวจากอาการเจ็บเข่า แม้ยังไม่น่าทันเกมนี้ แต่ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ พร้อมเสียบแทน หลังกลับมามีชื่อในเกมก่อนหน้านี้ ด้านแดนกลางยังคงใช้ บรูโน่ แฟร์นันด์ส จับคู่ กาเซมีโร่ คุมจังหวะเกม ส่วนแนวรุกจัดเต็ม — ไบรอัน เอ็มเบอโม่ เจ้าของรางวัลแข้งยอดเยี่ยมเดือนตุลาคม ยืนทำเกมร่วมกับ มาเตอุส คุนญ่า และ เบนจามิน เชชโก้

📋 11 ตัวจริงที่คาดของ แมนฯ ยูไนเต็ด (3-4-2-1)
เซนเน่อ ลัมเมนส์ – เลนี่ โยโร่, มัตไธส์ เดอ ลิกต์, ลุค ชอว์ – อาหมัด ดิยัลโล่, กาเซมีโร่, บรูโน่ แฟร์นันด์ส, ดีโอโก้ ดาโล่ต์ – ไบรอัน เอ็มเบอโม่, มาเตอุส คุนญ่า – เบนจามิน เชชโก้


🔍 วิเคราะห์เกม

ทั้งสองทีมมีแต้มเท่ากันและฟอร์มสูสี แต่จุดต่างสำคัญคือ “ความคมในพื้นที่สุดท้าย” สเปอร์สในบ้านมักเล่นดุดัน เกมบุกยังอันตรายโดยเฉพาะฝั่งขวา ขณะที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ของอโมริมมีเกมรุกที่หลากหลายขึ้นชัดเจน แต่ยังมีจุดเปราะในแนวรับ โดยเฉพาะเวลาที่ต้องรับแรงกดดันต่อเนื่อง

สถิติข่มชัดเจน : สเปอร์สไม่แพ้แมนยูเลยใน 7 นัดหลังสุด และชนะรวด 4 ครั้งหลังสุดในทุกรายการ แถมเกมนี้ได้เสียงเชียร์ในรังลอนดอนเหนือที่ยังแข็งแกร่ง


⚔️ ความน่าจะเป็นของเกม

เกมนี้น่าจะเปิดหน้าแลกกันตั้งแต่นาทีแรก เพราะต่างฝ่ายต่างต้องการสามแต้มเพื่อไล่บี้พื้นที่ยุโรป แต่เมื่อเทียบความมั่นใจในบ้านและสถิติที่เหนือกว่า “ไก่เดือยทอง” มีภาษีมากกว่าเล็กน้อย

คาดการณ์ผลการแข่งขัน:
🔹 สเปอร์ส เฉือนชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด 1-0
แมนออฟเดอะแมตช์คาดว่า: ชูเอา ปาลินญ่า

ฟุตบอล 7 สี จากทีมรองบ่อนสู่ผู้ท้าชิงแชมป์

0

ศึกฟุตบอลนักเรียน 7 สี ปีการศึกษา 2568 เดินทางมาถึงบทสรุปสุดเข้มข้น — คู่ชิงในปีนี้คือ “โรงเรียนอบจ.ชัยนาท” ดวลกับ “หมอนทองวิทยา” ทีมดังจากฉะเชิงเทรา ที่กลายเป็นไวรัลไปทั่วประเทศด้วยฟอร์มสุดเร้าใจและพลังใจเกินร้อย

แต่หากย้อนไปในอดีต คำว่า “ทีมต่างจังหวัด” แทบไม่มีพื้นที่ในลิสต์ผู้ชนะของรายการนี้ เพราะแชมป์ส่วนใหญ่ถูกผูกขาดโดยโรงเรียนยักษ์จากกรุงเทพฯและปริมณฑล ทั้งอัสสัมชัญธนบุรี, เทพศิรินทร์, สุรศักดิ์มนตรี หรือราชวินิตบางแก้ว คือชื่อที่แฟนบอล 7 สีคุ้นหูเป็นอย่างดี
จะมีก็เพียงไม่กี่ครั้งที่แชมป์หลุดออกนอกเมืองหลวง เช่น อัสสัมชัญศรีราชา (ชลบุรี) ปี 2009-2010 หรือจุฬาภรราชวิทยาลัย ปทุมธานี ในปี 2006

แต่ภาพนั้น…มันเปลี่ยนไปแล้ว!

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทีมจากต่างจังหวัดเริ่มขยับขึ้นมา “ท้าทายอำนาจเมืองหลวง” อย่างเต็มตัว หนึ่งในโมเมนต์พลิกประวัติศาสตร์คือ “กันทรารมณ์วิทยา” จากศรีสะเกษ ที่เคยคว้าแชมป์ได้แบบเหนือความคาดหมาย และล่าสุด หมอนทองวิทยา ก็สานต่อปรากฏการณ์นี้ด้วยการทะลุเข้าชิงในปีนี้

ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า ฟุตบอล 7 สี ไม่ได้เป็นเกมของ “ทีมเต็ง” อีกต่อไป — แต่มันคือสนามของ “โอกาสที่เท่าเทียม” สำหรับทุกโรงเรียนทั่วประเทศ


⚙️กฎเกมที่สร้างความเท่าเทียม

เคล็ดลับของความ “ยากจะคาดเดา” ของบอล 7 สี อยู่ที่ตัวกติกาเอง — เพราะนี่คือเกมที่ “ไม่มีกฎล้ำหน้า”!
สิ่งนี้เปลี่ยนโฉมแท็กติกไปอย่างสิ้นเชิง ทีมเล็กที่ไม่มีซูเปอร์สตาร์ระดับโรงเรียนดัง สามารถใช้ความเร็ว ไหวพริบ และการจบสกอร์ที่เฉียบขาดพลิกเกมได้ในพริบตา การวางหมากแบบบุกสวนกลับเร็วจึงกลายเป็นอาวุธร้ายที่โค้ชจากภูธรใช้ได้ผลอยู่บ่อยครั้ง

อีกจุดหนึ่งที่ทำให้บอล 7 สี แตกต่างจากฟุตบอล 11 คน คือ “ขนาดสนามและจำนวนนักเตะ” — เมื่อพื้นที่เล็กลง ความผิดพลาดเพียงเสี้ยววินาทีก็อาจกลายเป็นประตูได้ทันที เกมนี้จึงวัดกันด้วยสัญชาตญาณ ความเฉียบไว และทักษะเฉพาะตัว มากกว่าระบบทีมแบบยุโรป


🧩ปัจจัยสำคัญที่ล้มยักษ์

อีกหนึ่งความจริงที่หลายคนอาจมองข้าม คือ “ความล้าสะสม” ของทีมใหญ่จากกรุงเทพฯ
นักเตะโรงเรียนดังมักต้องกรำศึกหลายรายการตลอดปี — ทั้งกีฬาเขต, กีฬาเยาวชน, และรายการระดับกระทรวง ก่อนจะมาถึงศึก 7 สี ที่ถือเป็นเวทีใหญ่สุดท้ายของปี ผลคือร่างกายและจิตใจที่อ่อนล้า อาการบาดเจ็บสะสม และการขาดความสดในการเล่น
ขณะที่ทีมภูธรกลับได้เปรียบในแง่ความกระหาย ความฟิต และไฟแรงของนักเตะที่รอวันแจ้งเกิด

อีกส่วนที่ไม่ควรมองข้ามคือ “สมองของโค้ช” — หลายโรงเรียนภูธรดึงโค้ชระดับหัวกะทิจากเมืองหลวงไปคุมทีม หนึ่งในนั้นคือ “อาจารย์สกล เกลี้ยงประเสริฐ” ที่เคยปั้นเด็กเมืองกรุง ก่อนมาสร้างตำนานใหม่กับหมอนทองวิทยา


⚡บอล 7 สี = สนามแห่งหัวใจ

ทั้งหมดนี้หลอมรวมเป็นเหตุผลที่ทำให้ “บอล 7 สี” กลายเป็นรายการที่คาดเดายากที่สุดในวงการฟุตบอลเยาวชนไทย เพราะมันไม่วัดกันที่ชื่อเสียง ไม่วัดกันที่เงินสนับสนุน แต่วัดกันที่ “สมองของโค้ช” และ “หัวใจของนักเตะ”

นี่คือสนามที่ความสดใหม่ชนะชื่อชั้น และเป็นเวทีที่พิสูจน์ให้เห็นว่า “ทีมรอง” ก็สามารถเขียนประวัติศาสตร์ของตัวเองได้

และนั่นอาจเป็นสัญญาณที่ดีสุดสำหรับอนาคตของฟุตบอลไทย — เพราะบอล 7 สี ไม่ได้แค่สร้างแชมป์ แต่กำลังสร้าง “เพชรเม็ดงาม” ให้กับทีมชาติในวันข้างหน้า


🔥สรุป

บอล 7 สี วันนี้ ไม่ได้เป็นเกมของเมืองหลวงอีกต่อไป แต่มันคือสังเวียนแห่งความเท่าเทียม ที่เด็กจากทุกมุมประเทศสามารถยืนเคียงข้างทีมใหญ่ได้อย่างสง่างาม

และไม่ว่าปีนี้ถ้วยแชมป์จะอยู่ในมือใคร สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนที่สุดคือ — ฟุตบอลไทยกำลังเติบโตจาก “หัวใจ” ของเด็กเหล่านี้จริง ๆ

สรุปผลบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ลีกเฟส นัด 4

0

ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาล 2025/26 รอบ “ลีก เฟส” เดินทางมาถึงนัดที่ 4 เป็นที่เรียบร้อย เมื่อค่ำคืนวันที่ 4-5 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งผลการแข่งขันหลายคู่เป็นไปอย่างเข้มข้น โดย แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด โชว์ฟอร์มร้อนแรงพาเหรดคว้าชัย ขณะที่บิ๊กทีมอย่าง เชลซี และ บาร์เซโลน่า ทำได้เพียงเก็บแต้มเดียว

ในรอบลีกเฟสปีนี้ มีทั้งหมด 36 ทีมร่วมชิงชัย โดยหลังจบนัดที่ 8 จะคัดอันดับ 1-8 เข้ารอบน็อกเอาต์โดยอัตโนมัติ ส่วนทีมอันดับ 9-24 ต้องไปเพลย์ออฟชิงอีก 8 ที่นั่งเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้าย ขณะที่ทีมอันดับ 25 ลงไปจะตกรอบทันที ไม่มีสิทธิ์ตกไปเล่นยูโรป้า ลีก เหมือนระบบเดิม

สำหรับนัดล่าสุด มีเพียง 3 สโมสรเท่านั้นที่เก็บชัยได้ครบทั้ง 4 นัด นั่นคือ บาเยิร์น มิวนิค, อาร์เซน่อล และ อินเตอร์ มิลาน


⚽ ผลการแข่งขัน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2025/26

รอบลีกเฟส นัดที่ 4

📅 คืนวันอังคารที่ 4 พฤศจิกายน 2025

  • นาโปลี 0-0 ไอน์ทรัค แฟร้งค์เฟิร์ต
  • สลาเวีย ปราก 0-3 อาร์เซน่อล
  • แอตเลติโก มาดริด 3-1 อูนิโอน แซงต์ ชิลลัวส์
  • โบโด กลิมต์ 0-1 โมนาโก
  • ยูเวนตุส 1-1 สปอร์ติ้ง ลิสบอน
  • ลิเวอร์พูล 1-0 เรอัล มาดริด
  • โอลิมเปียกอส 1-1 พีเอสวี ไอนด์โฮเฟน
  • เปแอสเช 1-2 บาเยิร์น มิวนิค
  • ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ 4-0 เอฟซี โคเปนเฮเก้น

📅 คืนวันพุธที่ 5 พฤศจิกายน 2025

  • ปาฟอส 1-0 บียาร์เรอัล
  • คาราบัค 2-2 เชลซี
  • อาแจ็กซ์ 0-3 กาลาตาซาราย
  • เบนฟิก้า 0-1 ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น
  • คลับ บรูช 3-3 บาร์เซโลน่า
  • อินเตอร์ มิลาน 2-1 ไครัต
  • แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 4-1 โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์
  • โอลิมปิก มาร์กเซย 0-1 อตาลันต้า
  • นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด 2-0 แอธเลติก บิลเบา

📊 สถานการณ์ล่าสุด

หลังผ่าน 4 เกมแรก บาเยิร์น มิวนิค, อินเตอร์ มิลาน และ อาร์เซน่อล ยังคงยึดตำแหน่งหัวตารางแบบไร้พ่าย ขณะที่ แมนฯ ซิตี้ และ ลิเวอร์พูล ไล่จี้อยู่ไม่ห่าง ส่วน เชลซี และ บาร์เซโลน่า ต้องเร่งคืนฟอร์ม หากหวังจบใน 8 อันดับแรกเพื่อการันตีตั๋วรอบน็อกเอาต์โดยไม่ต้องเพลย์ออฟ

สเปอร์สออกแถลงหนุน“อูโดกี้”หลังถูกเอเยนต์ข่มขู่ด้วยอาวุธปืน

0

ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ สโมสรชั้นนำแห่งศึกพรีเมียร์ลีก ออกแถลงการณ์ยืนยันให้การสนับสนุน เดสตินี่ อูโดกี้ แบ็กซ้ายทีมชาติอิตาลีของทีม หลังตกเป็นข่าวว่าเป็นนักเตะพรีเมียร์ลีกที่ถูกเอเยนต์ฟุตบอลข่มขู่ด้วยอาวุธปืนกลางกรุงลอนดอน

ก่อนหน้านี้ สื่ออังกฤษรายงานกรณีผู้เล่นพรีเมียร์ลีกรายหนึ่งที่มีค่าตัวราว 60 ล้านปอนด์ ถูกเอเยนต์วัย 31 ปีชักปืนขู่ยิงระหว่างมีปากเสียงบนท้องถนนในกรุงลอนดอน โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าจับกุมผู้ก่อเหตุถึงบ้านพักเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา

ล่าสุด ตุ๊ตโต้เมอร์คาโต้ สื่อดังจากอิตาลี เปิดเผยว่านักเตะรายดังกล่าวคือ เดสตินี่ อูโดกี้ แข้งตัวหลักของ “ไก่เดือยทอง” ซึ่งทางสโมสรก็ได้ออกแถลงอย่างเป็นทางการถึงเรื่องนี้

“เราดูแลและให้การสนับสนุนเดสตินี่ รวมถึงครอบครัวของเขามาโดยตลอดตั้งแต่เกิดเหตุ และจะยังคงดำเนินการต่อไป เนื่องจากคดีอยู่ในขั้นตอนทางกฎหมาย สโมสรจึงไม่สามารถให้ความเห็นเพิ่มเติมได้ในเวลานี้”
— แถลงการณ์จากท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ ระบุ

สำหรับ อูโดกี้ วัย 22 ปี ย้ายจากอูดิเนเซ่มาร่วมทีมสเปอร์สเมื่อปี 2022 ด้วยค่าตัว 15 ล้านปอนด์ ก่อนถูกปล่อยกลับไปเล่นแบบยืมตัว 1 ฤดูกาลในกัลโช่ เซเรีย อา และกลับมาช่วยทีมเต็มฤดูกาลในปี 2023-24

เจ้าตัวกลายเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญของทีมชุดคว้าแชมป์ยูโรปา ลีก ฤดูกาล 2024-25 ซึ่งเป็นโทรฟี่แรกของสเปอร์สในรอบ 17 ปี โดยลงสนามไปแล้ว 75 นัด ทำได้ 2 ประตู กับอีก 4 แอสซิสต์

อลอนโซ่เชื่อ “เวียตซ์” แจ้งเกิดแน่กับลิเวอร์พูล รอเวลาปรับตัว

0

ชาบี อลอนโซ่ ผู้จัดการทีมเรอัล มาดริด แสดงความเชื่อมั่นว่า ฟลอเรียน เวียตซ์ เพลย์เมกเกอร์ดาวรุ่งของลิเวอร์พูล จะสามารถประสบความสำเร็จในถิ่นแอนฟิลด์ได้แน่นอน แม้ช่วงแรกยังไม่สามารถเค้นฟอร์มเก่งออกมาได้เต็มที่ พร้อมยกย่องว่าเป็นหนึ่งในนักเตะสำคัญที่มีส่วนผลักดันให้ตนก้าวมาถึงจุดนี้ในอาชีพกุนซือ

ทั้งคู่ต่างแยกทางกับ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา โดย อลอนโซ่ รับงานคุม “ราชันชุดขาว” ต่อจาก คาร์โล อันเชล็อตติ ส่วน เวียตซ์ ย้ายไปอยู่กับ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ด้วยค่าตัวมหาศาลถึง 116 ล้านปอนด์

แม้ดาวเตะวัย 22 ปี ยังไม่สามารถโชว์ผลงานโดดเด่นในพรีเมียร์ลีกได้มากนัก แต่อดีตกุนซือของเขามั่นใจว่า เวียตซ์ จะพิสูจน์ให้เห็นถึงคุณภาพในไม่ช้า

“แน่นอน ผมไม่สงสัยเลย มันเป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้น” อลอนโซ่ กล่าว
“การย้ายจากเยอรมนีมาอังกฤษเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เขาใช้เวลาทั้งชีวิตอยู่ที่นั่น แต่ฟลอเป็นนักเตะที่มีพรสวรรค์และทัศนคติยอดเยี่ยม ผมมั่นใจว่าเมื่อเขาปรับตัวได้ ทุกคนจะเห็นถึงศักยภาพที่แท้จริงของเขา”

อลอนโซ่ ยังกล่าวเพิ่มเติมด้วยความชื่นชมว่า เวียตซ์ คือหนึ่งในบุคคลสำคัญที่ทำให้ตนก้าวมาสู่ตำแหน่งกุนซือของเรอัล มาดริด

“เขาเป็นนักเตะที่พิเศษมาก และพูดได้เลยว่าส่วนหนึ่งที่ผมมาอยู่ตรงนี้ได้ ก็เพราะฟลอ ผมรู้สึกขอบคุณเขามาก”

“หวังว่าเขาจะยังไม่โชว์ฟอร์มสุดยอดในเกมที่จะเจอกับเรา (หัวเราะ) แต่ผมมั่นใจว่าในไม่ช้าเขาจะเปล่งประกายและแสดงคลาสของตัวเองออกมาแน่นอน”

ทั้งนี้ เรอัล มาดริด มีโปรแกรมบุกเยือน ลิเวอร์พูล ในศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก รอบลีกเฟส นัดที่ 4 คืนวันที่ 4 พฤศจิกายน 2568

“เซิร์กซี่” เนื้อหอม! หลายทีมยุโรปรุมจีบ–แมนยูยังไม่ติดสินใจ

0

โจชัว เซิร์กซี่ กองหน้าชาวดัตช์ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กำลังตกเป็นเป้าหมายของหลายสโมสรในยุโรป หลังไม่สามารถการันตีตำแหน่งตัวจริงในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด ขณะเดียวกัน “ปีศาจแดง” ก็ยังไม่ได้ตัดสินใจเกี่ยวกับอนาคตของนักเตะรายนี้


🔴 สื่ออิตาลีเผย เซิร์กซี่ ได้รับข้อเสนอเพียบ – โรม่า จ้องคว้าร่วมทัพ

มัตเตโอ โมเร็ตโต้ นักข่าวลูกหนังชื่อดังชาวอิตาเลียน รายงานผ่านช่อง YouTube ส่วนตัวว่า
เวลานี้ เซิร์กซี่ได้รับความสนใจจากหลายทีมในยุโรป โดยหนึ่งในนั้นคือ อาแอส โรม่า ที่แสดงความต้องการดึงตัวหัวหอกวัย 24 ปี ไปร่วมทีมในตลาดซื้อขายถัดไป

ดาวยิงชาวดัตช์มีแนวโน้มเปิดใจย้ายกลับไปค้าแข้งในอิตาลี หลังเคยโชว์ฟอร์มโดดเด่นกับ โบโลญญ่า มาก่อน ซึ่งอาจช่วยให้เขาปรับตัวได้ง่ายและเพิ่มโอกาสติดทีมชาติ เนเธอร์แลนด์ ชุดลุยฟุตบอลโลก 2026 รอบสุดท้าย


แมนฯ ยูไนเต็ด ยังไม่ตัดสินใจ – ประเมินอนาคตอยู่ในขั้นต้น

ด้าน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังไม่ได้ตัดสินใจอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับอนาคตของ เซิร์กซี่ โดยรายงานระบุว่ากระบวนการประเมินภายในสโมสรยังอยู่ใน “ระยะเริ่มต้น”

แม้เจ้าตัวจะได้รับโอกาสลงสนามบ้าง แต่หลังจากการมาของแนวรุกใหม่อย่าง ไบรอัน เอ็มเบอโม่, มัตเตอุส คุนญ่า และ เบนจามิน เชชโก้ ทำให้โอกาสของเขาลดลงอย่างชัดเจน


🧩 ผลงานและอนาคตที่ยังเปิดกว้าง

เซิร์กซี่ ย้ายจากโบโลญญ่ามาร่วมทัพแมนฯ ยูไนเต็ดเมื่อปี 2024 และจนถึงตอนนี้ลงสนามให้ทีมชุดใหญ่ไปแล้ว 36 นัด ยิงได้ 3 ประตู

แม้ตัวเลขอาจไม่หวือหวา แต่ดาวเตะวัย 24 ปี ยังถูกมองว่ามีศักยภาพในการพัฒนา โดยขึ้นอยู่กับว่าปีศาจแดงจะมอบโอกาสต่อหรือปล่อยให้ย้ายเพื่อโอกาสลงเล่นสม่ำเสมอในช่วงตลาดหน้าหนาวนี้


🔍 สรุป

อนาคตของโจชัว เซิร์กซี่ ยังคงเปิดกว้างในเวลานี้ ท่ามกลางความสนใจจากหลายสโมสรในยุโรป โดยเฉพาะทีมในอิตาลีที่พร้อมอ้าแขนต้อนรับ หากแมนฯ ยูไนเต็ดตัดสินใจปล่อยตัว กองหน้าดัตช์รายนี้อาจได้กลับไปเริ่มต้นใหม่ในเวทีที่คุ้นเคยอีกครั้ง

อาร์เตต้าชม “ปืนใหญ่” ฟอร์มสุดจัด! เล่นดีที่สุดของซีซั่น

0

มิเกล อาร์เตต้า กุนซือของ อาร์เซน่อล แสดงความพอใจกับฟอร์มการเล่นของลูกทีม หลังบุกเอาชนะ เบิร์นลี่ย์ 2-0 ในศึกพรีเมียร์ลีก พร้อมยกย่องว่าครึ่งแรกของเกมนี้คือ “หนึ่งในผลงานที่ยอดเยี่ยมที่สุดของฤดูกาล”


🔴 โยเคเรส–ไรซ์ ยิงคนละลูก พาปืนใหญ่ยึดจ่าฝูงต่อ

ศึกพรีเมียร์ลีกเมื่อคืนที่ผ่านมา “เดอะ กันเนอร์ส” โชว์ฟอร์มแกร่ง บุกคว้าชัยเหนือเบิร์นลี่ย์ 2-0 โดยได้สองประตูตั้งแต่ครึ่งแรกจาก วิคเตอร์ โยเคเรส และ เดแคลน ไรซ์

ชัยชนะในเกมนี้ทำให้อาร์เซน่อลเก็บเพิ่มเป็น 25 คะแนน จาก 10 นัด รั้งตำแหน่งจ่าฝูงต่อเนื่อง พร้อมสถิติสุดหรู — ชนะ 5 นัดรวดในลีก และชนะรวม 9 นัดติดทุกรายการ แถมยัง ไม่เสียประตู 7 นัดติดต่อกัน อีกด้วย


💬 อาร์เตต้าชมลูกทีม “ครึ่งแรกดีที่สุดของปี”

หลังจบเกม กุนซือชาวสเปนเผยความรู้สึกต่อฟอร์มของลูกทีมว่า

“ผมคิดว่าครึ่งแรกของเกมนี้คือหนึ่งในช่วงเวลาที่ดีที่สุดของเราในฤดูกาลนี้เลย เราเริ่มต้นเกมได้อย่างยอดเยี่ยม เล่นกันด้วยพลังและความมั่นใจ ที่นี่เป็นสนามที่ยาก แต่เราคุมเกมได้ดีตั้งแต่นาทีแรก”

“เราเคลื่อนบอลกันได้ลื่นไหลมาก มีโอกาสยิงประตูถึง 3-4 ครั้งเพิ่มเติมจากที่ทำได้สองลูก มันคือฟอร์มการเล่นที่สมบูรณ์แบบในครึ่งแรก”

อย่างไรก็ตาม อาร์เตต้าก็ยอมรับว่าครึ่งหลังลูกทีมฟอร์มแผ่วลงเล็กน้อย แต่ยังรักษาความแน่นอนในเกมรับได้ดี

“ครึ่งหลังเราเสียจังหวะไปบ้าง โดยเฉพาะตอนครองบอล แต่เกมรับยังแข็งแกร่งเหมือนเดิม เราโชคดีที่ลูกฟรีคิกชนเสา เพราะมันช่วยให้เรายังรักษาคลีนชีตได้อีกนัด”


ชม “โยเคเรส” เด่นสุดในสนาม – แต่อาจมีปัญหากล้ามเนื้อ

อาร์เตต้ากล่าวชื่นชมผลงานของ วิคเตอร์ โยเคเรส กองหน้าชาวสวีเดนที่ยิงประตูเปิดหัวในเกมนี้ โดยระบุว่าเป็นหนึ่งในฟอร์มที่ดีที่สุดนับตั้งแต่เจ้าตัวย้ายมา

“ผมคิดว่านี่คือหนึ่งในเกมที่เขาเล่นได้ดีที่สุดเลย ทั้งการเคลื่อนที่ การเพรสซิ่ง และการเชื่อมเกม เขามีส่วนสำคัญกับประตูแรกโดยตรง”

อย่างไรก็ตาม เทรนเนอร์ “ปืนใหญ่” ยืนยันว่ามีการเปลี่ยนตัวโยเคเรสออกในช่วงครึ่งหลังเพราะมีอาการตึงกล้ามเนื้อเล็กน้อย

“เขารู้สึกเจ็บเล็กน้อย เราไม่อยากเสี่ยง ต้องรอดูอาการกันต่อ แต่โดยรวมเขาอยู่ในฟอร์มที่ดีจริงๆ”


🧩 สรุป

อาร์เซน่อลยังคงเดินหน้าเก็บชัยต่อเนื่องในทุกรายการ และด้วยฟอร์มอันมั่นคงทั้งเกมรุกและเกมรับ ทำให้พวกเขายังคงรักษาตำแหน่งจ่าฝูงพรีเมียร์ลีกได้อย่างสง่างาม ขณะที่ มิเกล อาร์เตต้า ย้ำว่าความสำเร็จในตอนนี้มาจาก “การทำงานหนักและความต่อเนื่องของทีม” — พร้อมเชื่อว่าหากรักษาระดับฟอร์มนี้ไว้ได้ “ปืนใหญ่” มีโอกาสลุ้นแชมป์เต็มตัวในซีซั่นนี้

เป๊ปปลื้ม! ยก “ฮาลันด์” เข้าใกล้ระดับเดียวกับสุดยอดนักเตะ

0

เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กุนซือแมนเชสเตอร์ ซิตี้ กล่าวชื่นชมฟอร์มการเล่นของลูกทีม หลังเปิดบ้านเอาชนะ บอร์นมัธ 3-1 ในศึกพรีเมียร์ลีก พร้อมยกย่อง เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ ว่ากำลังอยู่ในช่วงฟอร์มสุดยอด และเริ่มขยับเข้าใกล้ระดับเดียวกับสุดยอดนักเตะอย่าง ลิโอเนล เมสซี่ และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้


🔵 ซิตี้รักษารองจ่าฝูงต่อ – ฮาลันด์ยิงนำดาวซัลโว

ชัยชนะเหนือบอร์นมัธเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ทำให้แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เก็บเพิ่มเป็น 6 คะแนนตามหลังจ่าฝูงอาร์เซน่อล พร้อมคว้าชัยในลีกได้ถึง 4 จาก 5 นัดหลังสุด

เกมนี้ เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ ระเบิดฟอร์มซัดคนเดียว 2 ประตู ส่งให้ยอดรวมประตูในพรีเมียร์ลีกซีซั่นนี้เพิ่มเป็น 13 ลูก นำโด่งเป็นดาวซัลโวสูงสุดของลีก


💬 เป๊ปชื่นชมลูกทีม – เทียบ “ฮาลันด์” กับเมสซี่และโรนัลโด้

หลังจบเกม กวาร์ดิโอล่าออกมาเปิดใจถึงผลงานของหัวหอกชาวนอร์เวย์ว่า

“เวลาคุณเล่นโดยไม่มีเขา คุณจะรู้เลยถึงความแตกต่าง เช่นในเกมกับสวอนซีที่เรายิงได้สามประตู แต่เมื่อมีฮาลันด์อยู่ในสนาม มันเหมือนกับตอนที่คุณมีเมสซี่หรือโรนัลโด้ — เขาสามารถเปลี่ยนเกมได้ในพริบตา”

“คุณเห็นตัวเลขของเขาแล้วใช่ไหม? แน่นอน เขาอยู่ในระดับเดียวกันนั่นแหละ เพียงแต่เมสซี่กับโรนัลโด้ทำได้ต่อเนื่องกว่า 15 ปี แต่ฮาลันด์กำลังเดินบนเส้นทางเดียวกัน”

กุนซือชาวสเปนยังกล่าวต่อว่า ฮาลันด์เป็นนักเตะที่ฝึกง่าย มีความกระหายในการทำประตู และเป็นแบบอย่างของมืออาชีพที่ยอดเยี่ยม

“บางครั้งผมก็เข้มกับเขา แต่เขาเป็นคนที่ฟังและปรับตัวได้ดีมาก เขาโฟกัสกับการทำประตูเสมอ แม้บางช่วงจะไม่สามารถเล่นได้ดุดันตลอด 90 นาที แต่นั่นเป็นเรื่องธรรมชาติของเกม”


เป๊ปเชื่อ “ฮาลันด์” ยังพัฒนาได้อีกไกล

นอกจากนั้น เป๊ปยังพูดถึงพัฒนาการของดาวยิงวัย 25 ปีว่า ทีมต้องสร้างโอกาสให้เขามากขึ้น เพราะยิ่งมีบอลถึงเท้า ฮาลันด์ก็ยิ่งอันตราย

“สิ่งสำคัญคือเราต้องป้อนบอลให้เขาในพื้นที่ที่เหมาะสม เขารู้ดีว่าหน้าที่ของเขาคืออะไร และสิ่งที่น่าทึ่งที่สุดคือเขาเป็นคนที่นิสัยดีมาก มีพลังบวกกับทุกคนในทีม”

“ผมมั่นใจว่าเขาจะพัฒนาขึ้นไปอีก ตัวเลขของเขาในตอนนี้มันน่าทึ่งอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ดีที่สุดยังไม่มาถึง”


🏁 สรุป

ชัยชนะเหนือบอร์นมัธไม่เพียงช่วยให้แมนฯ ซิตี้รักษาระยะห่างจากจ่าฝูงได้เท่านั้น แต่ยังตอกย้ำว่า “เออร์ลิ่ง ฮาลันด์” คือศูนย์หน้าที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกฟุตบอลยุคปัจจุบัน — และภายใต้การดูแลของเป๊ป กวาร์ดิโอล่า เขาอาจกลายเป็นอีกหนึ่ง “ตำนาน” ในหน้าประวัติศาสตร์ลูกหนังสมัยใหม่

ห้ามพลาด!